การเตรียมความพร้อมสำหรับภัยพิบัติทางธรรมชาติ
(Natural
Disaster Preparedness)
ประเภทของภัยธรรมชาติ ได้แก่
- พายุหมุนเขตร้อน (Tropical Cyclones) แบ่งออกเป็น ดีเปรสชั่น โซนร้อน ไต้ฝุ่น
- แผ่นดินไหวและสึนามิ (Earthquakes and Tsunami)
- อุทกภัย (Floods) ได้แก่ น้ำท่วมขัง น้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่า
- พายุฟ้าคะนองหรือพายุฤดูร้อน (Thunderstorms) ได้แก่ พายุทอร์นาโด ลมงวงช้างหรือนาคเล่นน้ำ (water spout) อากาศปั่นป่วน ลูกเห็บ ฟ้าแลบฟ้าผ่า ฝนตกหนัก
- แผ่นดินถล่ม (Landslide)
- คลื่นพายุซัดฝั่ง (Storm Surges)
- ไฟป่าและหมอกควัน (Fires and Smoke)
- ฝนแล้ง (Droughts)
โรงพยาบาลควรที่จะเตรียมความพร้อมรองรับการรักษาพยาบาลในภาวะภัยพิบัติ
โดยพิจารณาจากปัญหาที่จะเกิดขึ้น ได้แก่
- การสูญเสียโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ ไฟฟ้า ประปา การสุขาภิบาล เป็นต้น การวางแผนรับมือควรที่จะเป็นวิธีที่ง่าย ใช้ได้จริง ไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี เช่น เมื่อไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้าง อาจทำให้ระบบการสื่อสารล่ม แต่โทรศัพท์แบบเก่า (ส่งสัญญาณทางสายโทรศัพท์) จะยังคงใช้ได้อยู่
โรคที่จะเกิดขึ้นในระยะเฉียบพลันและระยะหลังเกิดภัยพิบัติ ได้แก่
- การบาดเจ็บ (Trauma) ส่วนใหญ่จะเป็นการบาดเจ็บเล็กน้อย ต้องเตรียม เช่น สำรองยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวด tetanus vaccine อุปกรณ์ทำแผล เป็นต้น สำหรับการบาดเจ็บรุนแรงที่ต้องทำการผ่าตัด ต้องเตรียม เช่น เลือดและองค์ประกอบของเลือด ยาทางวิสัญญี สถานที่ดูแลผู้ป่วยหนัก เครื่องมือผ่าตัด ห้องผ่าตัด เป็นต้น
- โรคติดเชื้อ (Infectious disease) ส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่พบในท้องถิ่นนั้นๆ ซึ่งจะพบมากขึ้นเมื่อคนมาอยู่รวมกันและสุขาภิบาลไม่ดี ได้แก่ โรคทางเดินหายใจ (หวัดในเด็ก การติดเชื้อจากสำลักน้ำ โรคหัด ไอกรน) โรคทางเดินอาหาร (ท้องเสีย) โรคผิวหนังและเนื้อเยื่อติดเชื้อ โรคจากสัตว์หรือแมลงนำโรค (malaria, dengue) ซึ่งเตรียมการเช่น สำรองยาปฏิชีวนะ วัคซีน (measles, pertussis) สบู่ เป็นต้น
- การกำเริบของโรคประจำตัว (Chronic medical conditions) ต้องรู้ว่าประชากรในท้องถิ่นมีโรคประจำตัวที่พบบ่อยอะไรบ้าง และเตรียมยาที่อาจต้องใช้ (DM, HT, asthma, CAD)
- ปัญหาสุขภาพจิต (Mental Health) ที่เพิ่มขึ้น เช่น posttraumatic stress disorder, suicide เป็นต้น ซึ่งต้องเตรียมการตอบสนองอย่างเพียงพอ ทั้งในคนที่รอดชีวิต คนที่บาดเจ็บอย่างรุนแรงหรือคนที่อยู่ในเหตุการณ์
- การจัดการศพ ต้องทำ universal precaution ได้แก่ มีชุดป้องกัน การล้างมือ การฉีดวัคซีน (Hepatitis B, TB) การเตรียมรถบรรทุกตู้แช่ศพ กรณีที่ห้องเก็บศพไม่เพียงพอ
การเตรียมทรัพยากรนอกจากจะดูจากปริมาณประชากรในท้องถิ่นแล้ว
ยังต้องคำนึงถึงกลุ่มอาสาสมัครที่จะเดินทางเข้ามาช่วยเหลืออีกด้วย
จากข้อมูลในอดีตพบว่ากลุ่มอาสาสมัครส่วนมากมักขาดทักษะ ซึ่งจะเป็นภาระมากกว่า
เพราะเกิดการแย่งใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด (ที่พัก อาหาร ยารักษาโรค) รวมถึงมักคาดหวังว่าจะมีเหตุการณ์ช่วยชีวิตที่ตื่นเต้นเร้าใจ จึงอาจไม่เต็มใจที่จะทำงานทั่วไปๆที่ต้องทำเป็นประจำ
ทีมปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ (Medical Emergency Response Team-MERT) ที่จะเข้าไปช่วยเหลือควรได้รับการจัดตั้งและฝึก
ซึ่งสามารถดูแลตนเองได้อย่างน้อย 72 ชั่วโมง
โดยไม่รบกวนทรัพยากรท้องถิ่น
ทำการติดต่อกับโรงพยาบาลในพื้นที่
ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ภัยพิบัติ
และมีการบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบ
การประสานการทำงานกับทีมแพทย์จากกองทัพเป็นวิธีหนึ่งการที่จะขยายการช่วยเหลือออกไปได้อย่างครอบคลุม
Ref: Tintinalli ed8th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น