วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

โรคหืด (Asthma)

Asthma
การวินิจฉัย
  1. มีประวัติอาการทางเดินหายใจ เช่น หายใจมีเสียงหวีด (wheeze) หอบเหนื่อย ไอ แน่นหน้าอก เปลี่ยนแปลงเป็นๆหายๆ มากบ้างน้อยบ้าง
    • อาการมักเป็นตอนกลางคืนหรือเช้ามืด
    • อาการมักโดนกระตุ้นจากสารก่อภูมิแพ้ การหัวเราะ การออกกำลังกาย หรือ อากาศเย็น
    • อาการมักเกิดร่วมกับหรือแย่ลงจากการติดเชื้อไวรัส
  2. ตรวจพบการเปลี่ยนแปลงของ expiratory airflow limitation
    • ขณะที่ FEV1 ต่ำ ตรวจพบ FEV1/FVC ratio ลดลง (ปกติ FEV1/FVC ratio > 0.75-0.8 ในผู้ใหญ่และ > 0.9 ในเด็ก)
    • มีการเปลี่ยนแปลงของ FEV1 เพิ่ม > 12 % หรือ 200 mL หลังได้รับยาขยายหลอดลม (bronchodilator reversibility) หรือหลังการรักษาด้วย anti-inflammatory treatment นาน 4 สัปดาห์
    • มีการเปลี่ยนแปลงของ FEV1 ในแต่ละวันเฉลี่ย > 10 % (> 13% ในเด็ก)

**ถ้าเป็นไปได้ควรตรวจเพื่อยืนยันการวินิจฉัย asthma ก่อนที่จะเริ่มการรักษาด้วย controller เพราะการวินิจฉัยจะทำได้ยากขึ้นหลังเริ่มการรักษาไปแล้ว


การประเมินผู้ป่วย asthma

1. ประเมินการตอบสนองต่อการรักษา


2. ประเมินปัจจัยเสี่ยงต่อการจับหืดเฉียบพลัน
  •         Asthma ที่ควบคุมอาการไม่ได้
  •         มี severe exacerbation > 1 ครั้ง/12 เดือน
  •         เคยต้อง intubation หรือ intensive care จาก asthma
  •         ไม่ได้ใช้ ICS รวมถึงการใช้ไม่สม่ำเสมอ หรือการใช้ไม่ถูกวิธี
  •         ใช้ SABA บ่อย (> 1x200-dose canister/mouth)
  •         Low FEV1 โดยเฉพาะ < 60% predicted
  •         มี major psychological หรือ socioeconomic problems
  •         Smoking, allergen exposure
  •         มี comorbidity ได้แก่ obesity, rhinosinusitis, confirmed food allergy
  •         Sputum หรือ blood eosinophilia; elevated FENO ใน allergic adults
  •         Pregnancy

3. ประเมิน lung function ก่อนเริ่มการรักษา ที่ 3-6 เดือน และเป็นระยะๆ (อย่างน้อยทุก 1-2 ปี)
4. ประเมินประเด็นในการรักษาอื่นๆ เช่น ระดับขั้นของการรักษา (ดูด้านล่าง) ผลข้างเคียง วิธีการใช้ถูกต้องหรือไม่ ใช้สม่ำเสมอหรือไม่ ทบทวน asthma action plan สอบถามทัศนคติและเป้าหมายการรักษา
5. ประเมินโรคร่วมอื่นๆ เช่น rhinitis, rhinosinusitis, GERD, OSA, depression, anxiety


การรักษาเบื้องต้น
  • แนะนำให้หยุดหรือหลีกเลี่ยงควันบุหรี่
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แนะนำวิธีการจัดการ exercise-induced bronchoconstriction
  • ถามประวัติการทำงาน (occupational asthma) ในรายที่เป็น adult-onset asthma
  • ก่อนให้ NSAIDs หรือ aspirin ให้ถามประวัติ asthma ก่อนเสมอ
  • โรคร่วมอื่นๆ เช่น obesity แนะนำให้ลดน้ำหนัก; รักษา chronic rhinosinusitis หรือ GERD แต่ไม่ช่วยในการควบคุมอาการของ asthma
  • **การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ (เช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ สปอร์เชื้อรา เกสรหญ้า) พบว่ายังไม่มีวิธีที่ได้ผล และสิ่งกระตุ้นอื่นๆ (การออกกำลังกาย การหัวเราะ) ไม่แนะนำให้หลีกเลี่ยง

การรักษา

  • ขั้นที่ 1-2: Low-dose ICS/formoterol as needed (budesonide 200-400 mcg/d) 1-2 inhalations เมื่อมีอาการ (หรือ SABA ร่วมกับ ICS พ่นโดสต่ำเป็นครั้งคราว)
  • ขั้นที่ 3: Low-dose ICS/formoterol ถ้ามีอาการทุกวัน ตื่นกลางคืน > 1 ครั้ง/สัปดาห์ และ FEV1 60-80%
  • ขั้นที่ 4: Medium-dose ICS/formoterol (budesonide 400-800 mcg/d) จำกัดกิจวัตรประจำวัน ตื่นทุกคืน หรือ FEV1 < 60% ; **สามารถเปลี่ยนจาก LABA เป็น LAMA (tiotropium) หรือ LTRA ใน step 3-4 หรือเพิ่มเติมในรายที่ยังคุมได้ไม่ดี
  • ขั้นที่ 5: ส่งพบแพทย์เฉพาะทาง เพิ่มยา เช่น tiotropium, anti-IgE (omlizumab), anti-IL5 (SC mepolizumab, IV reslizumab)

 

 ตัวอย่างยา ICS + LABA (MDI ยากด; ถ้าไม่ใช่ MDI คือยาสูด)

  • Budesonide + Formoterol (Symbricort turbuhaler) 160/4.5, 320/9 พ่น เช้า-เย็น
  • Fluticasone + Salmeterol (Seretide evohaler MDI) 25/125, 25/250 (Seretide Accuhaler) 50/100, 50/500

Nocturnal asthma

  • DDx เช่น COPD, GERD, OSA, heart failure, hypersensitivity pneumonitis
  • สาเหตุกระตุ้น เช่น allergen, rhinosinusitis, GERD, sleep apnea
  • ปรับยาเหมือน asthma ปกติ ในรายที่ใช้ ICS + LABA แต่ยังไม่ดีขึ้น ให้ LTRA หรือ theophylline ตอน 6-7 PM
  • ในรายที่ต้องให้ OCS อาจปรับมาให้ 3-4 PM แทนตอนเช้า

Exercise-induced bronchoconstriction

  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในที่อากาศเย็นและแห้ง
  • ให้ SABA หรือ ICS/LABA 5-10 นาทีก่อนออกกำลังกาย หรือถ้าต้องออกกำลังนาน บ่อย ไม่เป็นเวลา ให้ใช้ LTRA หรือ daily ICS แทน


การติดตามอาการและการปรับยา
  • ติดตามอาการ 1-3 เดือนหลังเริ่มการรักษา หลังจากนั้นทุก 3-12 เดือน ยกเว้นช่วงตั้งครรภ์ควรติดตามอาการทุก 4-6 สัปดาห์ และภายใน 1 สัปดาห์หลังมี exacerbation
  • การปรับยาขึ้น
    • ปรับเพิ่มยาขึ้น (หลังใช้ controller 2-3 เดือน) ถ้ายังมีอาการหรือมีการจับหืดเฉียบพลัน โดยพิจารณาปัจจัยอื่นๆร่วมด้วย เช่น การใช้ยาไม่ถูกต้องหรือใช้ยาไม่สม่ำเสมอ ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆที่แก้ไขได้ เช่น ควันบุหรี่ หรือมีอาการจากโรคร่วม เช่น allergic rhinitis
    • ปรับเพิ่มยาชั่วคราว (1-2 สัปดาห์) เช่น ช่วงที่มี viral infection หรือ allergen exposure
  • การปรับยาลงที่ 3 เดือนเมื่อควบคุมอาการได้โดยปรับขนาด steroid ลงทีละ 25-50% ทุก 2-3 เดือนจนถึงขนาดต่ำแล้วจึงลองหยุดยาอื่นๆทีละตัว จนกระทั่งเหลือ low-dose ICS อย่างเดียว
  • ผู้ป่วยรายใหม่ที่มีอาการแบบ persistent ให้เริ่มที่ขั้นที่ 2