วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การคัดกรองผู้ป่วยด้วยระบบ Emergency Severity Index (ESI)


          การที่ผู้ป่วยมาใช้บริการห้องฉุกเฉินปริมาณมากในแต่ละวันทำให้ต้องมีระบบคัดกรองผู้ป่วยขึ้นเพื่อแบ่งระดับความรุนแรง การประเมินความรุนแรงต่ำกว่าความเป็นจริงเรียกว่า under-triage จะทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นจากการที่ผู้ป่วยต้องรอตรวจเป็นเวลานาน และการประเมินความรุนแรงมากกว่าความเป็นจริงเรียกว่า over-triage ทำให้เกิดแย่งใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดกับผู้ป่วยที่มีความรุนแรงมากกว่า เพราะฉะนั้นการคัดกรองผู้ป่วยจึงต้องการความถูกต้องและรวดเร็ว

           ระบบการคัดกรองผู้ป่วยได้รับการพัฒนาเรื่อยมา จนล่าสุดที่ใช้เป็นมาตรฐานในสหรัฐอเมริกาก็คือระบบ ESI (ปัจจุบันตั้งแต่ปี 2005 เป็น version 4) เน้นการคัดกรองผู้ป่วยหนักหรือมีความเสี่ยงที่ต้องการดูแลเร่งด่วน และเน้นความลื่นไหลในการทำงาน ลดความแออัดในห้องฉุกเฉิน โดยพิจารณาจากทรัพยากรที่ต้องใช้ในผู้ป่วยแต่ละราย (getting the right patient to the right resources at the right place and the right time) โดยไม่ได้กำหนดกรอบเวลาไว้ตายตัวเหมือนระบบคัดกรองอื่นๆ เพียงแต่ระบุว่าผู้ป่วย ESI level 1 ต้องได้การรักษาทันที ผู้ป่วย ESI level 2 ควรได้รับการรักษาเป็นลำดับแรกๆภายในเวลาที่เหมาะสม (as soon as possible)

การคัดกรองจะใช้พยาบาลที่มีประสบการณ์ในการทำงาน มี 4 จุดสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ

Decision point A: คือผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่อง airway breathing circulation อย่างรุนแรง ต้องการการช่วยเหลือทันที (Immediate life saving intervention) จะได้รับการคัดกรองเป็น ESI level 1 ได้แก่

Airway/breathing
BVM, intubation, surgical airway, emergent CPAP, emergent BiPAP
Electrical therapy
Defibrillation, emergent cardioversion, external pacing
Procedures
Chest needle decompression, pericardiocentesis, open thoracotomy, intraosseous access
Hemodynamics
Significant IV fluid resuscitation, blood administration, control of major bleeding.
Medications
Naloxone, D50, dopamine, atropine, adenosine

ยกตัวอย่างผู้ป่วยในระดับนี้ได้แก่  cardiac arrest, respiratory arrest, severe respiratory distress, SpO2 < 90, severe brady/tachycardia with hypoperfusion, hypotension with hypoperfusion, trauma patient with unresponsive /need IV resuscitation, chest pain with pale/diaphoretic/hypotension, anaphylactic shock, flaccid baby, acute unresponsive patients, เป็นต้น

Decision point B: การพิจาณาในขั้นนี้ประกอบด้วย 3 คำถามเพื่อแยกผู้ป่วย ESI level 2 คือ
1.       High riskเป็นผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงหรือไม่?”  อาศัยประสบการณ์ของพยาบาลที่พบผู้ป่วยมามาก การซักประวัติ ดูสภาพโดยรวมของผู้ป่วย พิจารณาว่าแม้ขณะนี้อาการโดยรวมยังคงที่ แต่ก็ต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างเร็ว พยาบาลสามารถให้การช่วยเหลือเบื้องต้นไปได้ก่อนเช่น ให้ O2, เปิด IV fluid, monitor EKG
ยกตัวอย่างผู้ป่วยกลุ่มนี้ (ดู Appendix) ได้แก่ active chest pain (suspected ACS), needle stick in HCW, stroke, ectopic pregnancy, fever with immunocompromised, fever in infant < 28 d, suicidal/homicidal patient
2.       Confused ผู้ป่วยซึม สับสนหรือไม่?พิจารณาว่าเป็นอาการที่เกิดขึ้นใหม่
3.       Distressผู้ป่วยกำลังมีความทุกข์ทรมานหรือเจ็บปวดมาก? พิจารณาทั้งทางร่างกายและจิตใจ เช่น case sexual assault, domestic violence, combative patient, manic episode, severe pain
อาการปวดอาจจะดูจากอาการภายนอกเช่น สีหน้า ร้องไห้ เหงื่อแตก นอนบิดตัว หรือดูจาก vital signs เช่น hypertension, tachycardia, tachypnea หรือการที่ประเมิน pain score > 7 แต่การที่ pain score > 7 ก็ไม่จำเป็นต้องคัดกรองให้อยู่ใน ESI level 2 เสมอไป เช่นผู้ป่วย ankle sprain สามารถให้การช่วยเหลือเบื้องต้นเช่น ยกขาสูง ประคบเย็น ซึ่งพิจารณาแล้วว่าสามารถให้รอได้อย่างปลอดภัย

Decision point C: ต้องใช้ทรัพยากรมากน้อยเพียงใด (resource needs)
การที่จะตัดสินใจในขั้นนี้ต้องใช้พยาบาลที่มีประสบการณ์ว่าในกรณีที่ผู้ป่วยมาด้วยอาการหนึ่งๆแล้วแพทย์จะสั่งตรวจหรือสั่งการรักษาอย่างไรต่อไป พิจารณาจากผู้ป่วยที่เคยพบที่มาด้วยอาการคล้ายคลึงกัน โดยเน้นกิจกรรมบางอย่างว่าเป็นการใช้ทรัพยากรได้แก่
Resources
No resources
ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ
ตรวจ EKG, x-rays, CT/MRI/US
IV fluids
การให้ยา IV/IM/Nebulizer
ปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง
Simple procedure =1 (เย็บแผล ใส่ foley’s catheter)
Complex procedure =2 (conscious sedation)
ซักประวัติ ตรวจร่างกาย
Point-of-care testing (POCT)
On saline lock
ให้ยา PO, ฉีด tetanus toxoid, จ่ายยาเดิม
โทรศัพท์ตามแพทย์เวร
ทำแผลทั่วไป ตรวจแผล
Crutches, splints, slings
การนับจำนวนทรัพยากรที่ใช้นับเป็นกลุ่มๆ เช่น กลุ่ม lab (ตรวจเลือด+ตรวจปัสสาวะ) นับเป็น 1 อย่าง plain x-ray นับเป็นกลุ่มเดียวกัน
ถ้าคิดว่าไม่ต้องใช้ทรัพยากรก็จัดให้อยู่ใน ESI level 5 ถ้าคิดว่าต้องใช้ทรัพยากร 1 อย่างก็จัดเป็น ESI level 4 ถ้าคิดว่าใช้ทรัพยากรมากกว่า 1 อย่างก็ต้องมาพิจารณา Decision point D ต่อไป

Decision point D: พิจารณาสัญญาณชีพ (vital signs) ว่าอยู่ในโซนอันตรายหรือไม่ดังรูป

ในเด็ก < 3 ปีจะพิจารณา temperature ด้วยดังนี้
1-28 วัน ถ้า T > 38.0o C ให้เป็น ESI 2
1-3 เดือน ถ้า T > 38.0o C ให้พิจารณาเป็น ESI 2
3 เดือน 3 ปี ถ้า T > 39.0o C หรือ incomplete immunization หรือ no obvious source of fever ให้พิจารณาเป็น ESI 3

ถ้าสัญญาณชีพอยู่ในโซนอันตรายก็พิจารณาจัดให้อยู่ใน ESI level 2 ถ้าไม่อยู่ก็เป็น ESI level 3

การพิจารณาหลายอย่างใช้ประสบการณ์มาช่วยตัดสินใจ ผู้ป่วยที่จัดอยู่ใน level เดียวกันก็ยังต้องดูความหนักเบาของอาการแบ่งว่าคนไหนควรได้รับการตรวจก่อนหลังอย่างไร

หลังจากที่ทำการซักซ้อมและใช้งานจริงแล้ว ขั้นตอนต่อมาก็ต้องมาดูว่าระบบที่วางไว้ทำงานได้มีประสิทธิภาพเพียงใด โดยการเก็บข้อมูลต่างๆเช่น ความถูกต้องของ level ที่รับการ triage, อัตรา under และ over-triage, ทบทวน case ทั้งหมดที่เกิดผลเสียจากการ triage ผิด, วัด parameter ด้านเวลาเช่น เวลาที่ได้พบแพทย์ใน level ต่างๆ, LOS ใน level ต่างๆ, admission rate ใน level ต่างๆ ส่วนใหญ่จะสุ่มเลือก chart มาประมาณ 10% ในเวรต่างๆกันและในพยาบาล triage ต่างคนกันมาทบทวน

Appendix
ใน ESI level 2 การดูว่าผู้ป่วยใดเป็นผู้ป่วย high risk อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป เพราะต้องอาศัยทั้งความรู้และประสบการณ์มาก จึงขอยกตัวอย่างผู้ป่วยกลุ่มนี้เช่น

  • Abdominal pain เช่น ปวดท้องร้าวทะลุหลังเหมือนโดนฉีก (ripping) ร่วมกับมีประวัติ HT ก็ต้องสงสัย AAA; ผู้สูงอายุอาเจียนเป็นเลือด/ถ่ายเป็นเลือดร่วมกับ HR เร็วเป็นกลุ่มเสี่ยงต่างกับคนอายุน้อยสุขภาพดีอาเจียนเป็นเลือดดำ vital sign ปกติก็อาจจะรอได้
  • Cardiovascular เช่น chest pain ก็ต้องดูว่าเดิมเคยเป็น ACS เดิมหรือไม่ อายุเท่าไหร่ มีอาการร่วมหรือไม่เช่น เหงื่อแตก คลื่นไส้ เหนื่อย ว่าเสี่ยงกับ ACS หรือมีอาการสงสัย dissection หรือไม่
  • Nose & throat เช่น epistaxis ก็ต้องดูว่าเลือดออกมากน้อยแค่ไหน หรือสัมพันธ์กับ hypertension หรือผู้ป่วยกิน warfarin ก็ต้องคิดเป็น high risk ไว้ก่อน; หรืออาการสงสัย epiglottitis, foreign body, peritonsillar abscess ก็ต้อง triage เป็น level 1 หรือ 2 ไว้ก่อน
  • Environmental เช่นมีประวัติ inhalation injury แต่อาการยังปกติ หรือ third degree burn เป็นกลุ่ม high risk
  • General medical เช่นผู้ป่วย DM สงสัยจะมี hyper/hypoglycemia ก็สามารถเจาะ DTX ดูได้เลยตั้งแต่จุด triage; ผู้ป่วย syncope ก็ต้องดูว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือไม่; ผู้ป่วยที่ได้ chemotherapy แล้วมีไข้ขึ้นก็เสี่ยงต่อ sepsis เป็นต้น
  • Mental health เช่น suicide, homicide, psychotic, violent หรือผู้ป่วย intoxication
  • Neurological เช่นผู้ป่วยปวดหัวมากเฉียบพลัน (SAH) หรือมีอาการร่วมเช่นสับสน ซึม ไข้ BP สูง ผื่น หรือมี neurological deficit (stroke, meningitis, mennigococcemia); ผู้ป่วยมาด้วย post-ictal ก็ยังเสี่ยงจะชักซ้ำ
  • OB/GYN ผู้หญิงปวดท้องน้อยหรือมีเลือดออกสงสัยตั้ง ectopic pregnancy, abortion; เลือดออกมาก
  • Ocular เช่นผู้ป่วยมี visual loss จากโดนสารเคมี, สงสัย CRAO, glaucoma, retinal detachment, trauma
  • Orthopedic ที่เสี่ยงต้องการสูญเสียแขนขาเช่น neurovascular compromise, amputation, significant trauma; หรือ fracture ที่เสี่ยงต่อ blood loss มากเช่น pelvic, femur
  • Pediatric เช่น ชัก sepsis, severe dehydration, child abuse, head trauma, medication overdose, เป็นต้น
  • Respiratory เช่นสงสัย asthma, pulmonary embolism, pleural effusion, pneumothorax, FB aspiration, smoke inhalation เป็นต้น
  • Toxicological ผู้ป่วย overdose ที่อาการยังดูปกติ
  • Trauma ที่มีประวัติ mechanism รุนแรงที่ vital signs ปกติเช่น acceleration, deceleration, blunt injury, gunshot, stab wound, เป็นต้น

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Intranasal drug delivery


การให้ยาโดยการพ่นยาทางจมูก มีข้อดีคือ
  • ไม่เจ็บเพราะไม่ต้องใช้เข็มแทงผ่านผิวหนัง ไม่ต้องใช้ sterile technique
  • ใช้ง่าย-เร็วเพราะยาถูกดูดซึมเข้าสูกระแสเลือดโดยตรงผ่านทาง vascular plexus (เร็วกว่า IM, SC)
  • ยาไม่ถูกทำลายโดยกระบวนการ first pass metabolism เหมือนการกิน
  • ยามีความเข้มข้นใน CSF สูงจากการดูดซึมผ่านทาง Nose-brain pathway
ข้อเสียคือ ปัจจุบันยังมียาไม่มากที่นิยมให้ทาง intranasal (IN) route และจำกัดปริมาณยาไม่เกิน 1 ml/nostril (ที่เหมาะสมคือ 0.25-0.3 ml/nostril) เพราะฉะนั้นยาต้องมีความเข้มข้นพอเพื่อให้ได้ขนาดยาที่เหมาะสม และการดูดซึมยังขึ้นกับปัจจัยอื่นๆเช่น มีเลือกออก มีน้ำมูกมาก หรือการใช้ vasoconstrictor ทำให้การดูดซึมยาลดลง

Nose brain pathway เชื่อว่ายาผ่านเข้าสู่ CSF อย่างรวดเร็ว โดยผ่านทาง olfactory mucosa บริเวณ cribiform plate โดยไม่ผ่านทาง  blood-brain barrier ทำให้ระดับยาใน CSF สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (มักจะสูงกว่าการให้ทาง IV route)

เพราะฉะนั้นหลักการให้ยาทาง IN ที่สำคัญคือ ให้ยาความเข้มข้นสูงสุด ปริมาตรน้อยที่สุด ให้สัมผัสกับพื้นผิวมากที่สุดโดยการแบ่งพ่นจมูกทั้งสองข้าง การพ่นต้องให้ได้ขนาด particle ที่เหมาะสมคือ 10-20 µm (atomized spray) 

***Pitfall คือ แพทย์ให้ยาทาง IN ปริมาณไม่เพียงพอ เพราะ dose ของยาทาง IN มากกว่าทาง IV มาก เพราะ bioavailability น้อยกว่า IV และการให้ทาง IN ต้องใช้เวลาในการดูดซึม 3-5 นาที เพราะฉะนั้นระดับยาจะไม่สูงพอที่จะมีผลให้กดการหายใจถ้าให้ขนาดยาที่เหมาะสม 

Intranasal medications and doses based on published literature
Minor painful injury/procedure
Fentanyl 2.0 µg/kg titrate q 15-20 min หรือ ให้ PO ที่ 15-20 นาที
Minor sedation
Midazolam 0.4-0.5 mg/kg  (pretreat ด้วย 2-4% lidocaine 3-5 นาที)
**จะมี midazolam burn ประมาณ 30 วินาที; sedate ประมาณ 30 นาที
Seizures
Midazolam 0.2-0.3 mg/kg (max 10 mg); conc. 5 mg/mL
Opiate overdose
Naloxone 2 mg (2 ml); conc. 1 mg/mL
Epistaxis
Oxymetazoline 1.0 – 2.0 ml (+0.5 ml 4% lidocaine); remove clot ก่อนพ่นยา เอาสำลีชุบ oxymetazoline ใส่จมูก บีบจมูก 5-10 นาที
Nasal procedures (NG, NP airway, nasal intubation)
Lidocaine 4% (+ oxymetazoline) 1.5 mL both nose, 3 mL at throat รอ 3 นาที
***ถ้าต้องให้ยามากกว่า 2 cc ควรแบ่งให้โดยรอประมาณ 10 นาที; **การให้ยาปริมาณน้อยๆต้องบวก dead space ที่ยาจะไปค้างอยู่ใน delivery device ด้วย (ประมาณ 0.1 ml ถ้าใช้ syringe 1 ml)

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Drugs in lactation


ยาเกือบทุกชนิดสามารถขับทางน้ำนมได้ (ยกเว้นยาบางตัวที่โมเลกุลใหญ่มากเช่น heparin, insulin) โดยเฉพาะยาที่ละลายในไขมันได้ดี จับกับโปรตีนน้อย การที่จะดูว่ายาชนิดใดปลอดภัยสำหรับหญิงที่ให้นมบุตรสามารถดูได้จาก 1) ยาที่มี toxicity มากเช่น cytotoxic agents, ergotamine, gold salts, immunosuppressive, isotretinoin ควรหลีกเลี่ยงเด็ดขาด 2) ขนาดยาที่ลูกได้รับเทียบกับมารดาต่อน้ำหนักตัวต้องไม่เกิน 10% (คิดจาก maternal plasma concentration x maternal milk/plasma ratio x ปริมาณนมที่กินต่อวันประมาณ 150 ml/kg/day) ถ้า < 1% ก็ปลอดภัย แต่ถ้าขนาดยาเกือบ 10% ต้องดูปริมาณการขับยาว่าทำได้กี่ %
Post-conceptual age
Clearance of drug
                 24 - 28 wks
                 28 - 34 wks
                 34 - 40 wks
                 40 – 44 wks
                 44 – 68 wks
                 > 68 wks
                              5%
                              10%
                              33%
                              50%
                              66%
                              100%
การให้ยาในผู้หญิงที่ให้นมบุตร มีหลักการสำคัญดังนี้
  •         ใช้ยาเท่าที่จำเป็น (ขนาดน้อยที่สุดที่ได้ผล ระยะเวลาสั้นที่สุด) คำนึงประโยชน์และโทษเสมอ
  •         ยาที่สามารถให้ได้ในเด็กทารก (infant) สามารถให้ได้ในผู้หญิงให้นมบุตร
  •         เด็กแรกเกิด (neonate) จะมีความเสี่ยงต่อยาที่ขับทางน้ำนมมากที่สุด เพราะระบบจำกัดยาออกจากร่างกายยังทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้เสี่ยงต่อการที่ยาสะสมในร่างกาย (โดยเฉพาะเด็กที่คลอดก่อนกำหนด เด็กน้ำหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์)
  •         เลือกยาที่ขับทางน้ำนมน้อยที่สุด หลีกเลี่ยงยาที่ออกฤทธิ์ยาว
  •         เฝ้าระวังอาการผิดปกติของทารกที่ได้รับยาผ่านทางน้ำนม
  •         หลีกเลี่ยงยาที่ออกใหม่ เพราะส่วนใหญ่ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการให้ยาในผู้หญิงให้นมบุตรเพียงพอเทียบกับยาตัวเก่าที่มีข้อมูลมากกว่า

ยกตัวอย่างยาที่ใช่บ่อยและสามารถใช้ได้เช่น
o   Analgesic เช่น ibuprofen, diclofenac, paracetamol
o   Antihistamine ก็ควรเลือก cetirizine หรือ loratadine มากกว่า CPM
o   GI drugs เช่น aluminium hydroxide, Mg hydroxide, famotidine, ranitidine, domperidone
o   Anticonvulsant เช่น sodium valpoate, carbamazepine
o   Antibiotic เช่น กลุ่ม beta-lactam, gentamicin, macrolide, cephalosporin, antiTB IRZE สามารถใช้ได้
o   Antihypertensive drugs เช่น captopril, enarapril, metoprolol, propanolol, labetalol, hydralazine, methyldopa, HCTZ
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก