Tuberculosis
**H=Isonazid 5 mg/kg/d; R=Rifampicin 10 mg/kg/d; Z=Pyrazinamide 25 mg/kg/d; E=Ethambutol 15 mg/kg/d; S=Streptomycin 15 mg/kg/d; Km=Kanamycin; Lfx=Levofloxacin; Eto=Ethionamide; PAS=Para-aminosalicylic acid; Cs=Cycloserine; ให้ pyridoxine 50-75 mg ร่วมกับ H
เกิดจากเชื้อใน genus
Mycobacterium ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ของวัณโรคในคน คือ M.
tuberculosis ส่วนเชื้อตัวอื่นที่ก่อโรคในคนได้
เช่น M. africanum,
M. bovis
วัณโรคเป็น airborne-transmitted
infectious disease แพร่กระจายทาง droplets
ซึ่งประมาณ
30% ของผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยวัณโรคในระยะแพร่กระจายจะติดเชื้อ
ประมาณ 90% ของการติดเชื้อจะเป็นวัณโรคระยะแฝง
(latent TB infection; LTBI) ซึ่งไม่มีอาการและไม่แพร่เชื้อ
(ในกลุ่มนี้อาจกลายเป็นวัณโรคกำเริบ
[reactivated TB] ได้ในภายหลังประมาณ
10%) และอีก 10%
จะป่วยเป็นวัณโรคปฐมภูมิ
(primary TB) ภายใน 4-6
สัปดาห์หลังการติดเชื้อ
มักเกิดในเด็กเล็ก หรือ ผู้มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
Pulmonary tuberculosis
การค้นหาโรค
- ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง อาจมีหรือไม่มีอาการ เช่น DM, HIV, COPD, immunocompromised, silicosis, CKD, malnutrition, ผู้ต้องขังเรือนจำ, คนไร้บ้าน, ประชากรข้ามชาติ, ผู้สัมผัสวัณโรค, ผู้ติดยาเสพติด ติดสุรา, ผู้ป่วยผ่าตัดกระเพาะและลำไส้
- หรือมีอาการ ไอนาน > 2 สัปดาห์ หรือมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ไอไม่ทราบสาเหตุ ไอปนเลือด น้ำหนักลด ไข้ไม่ทราบสาเหตุ เหงื่อออกกลางคืน
- CXR นำมาใช้คัดกรองได้และช่วยวินิจฉัยในผู้ที่มีหรือไม่มีอาการได้ แต่มีความจำเพาะต่ำ จึงต้องตรวจเสมหะหาเชื้อวัณโรคร่วมด้วยเสมอ
- ลักษณะที่อาจเข้าได้ คือ reticulonodular หรือ cavity ที่ upper lobe แต่ต้องแยกกับโรคอื่นๆ
- ลักษณะที่เข้าได้กับระยะลุกลาม
คือ patchy infiltration +/- cavity lesion
- ลักษณะที่เป็นรอยโรคเก่า
เช่น fibrireticular infiltration +/- calcification
- Sputum AFB
- ให้ไอแรงๆหลอดลม (ไม่ใช้ขากจากลำคอ) อย่างน้อย 3 มล.(ครึ่งช้อนชา) และส่งตรวจทันที ถ้าไม่สามารถนำมาส่งได้ทุกวันให้แช่ตู้เย็นช่องธรรมดา ไม่เกิน 1 สัปดาห์
- ถ้าเสมหะมีคุณภาพให้ตรวจ > 2 ครั้ง (เก็บทันที และเก็บอีกครั้งตอนเช้า) ถ้าเสมหะไมมีคุณภาพให้เก็บ > 2 ครั้ง
- ถ้าไอไม่ออก
อาจใช้ 3% saline NB (ห้ามทำในคนที่เสี่ยงต่อ
bronchospasm) หรือทำ bronchoscopy
- C/S เป็นมาตรฐานในการวินิจฉัย ซึ่งแนะนำให้ทำทุกราย รวมทั้งการทดสอบความไวต่อยาก่อนเริ่มการรักษา
- Nucleic acid
amplification test (NAAT) เช่น PCR,
real-time PCR, Xpert MTB/RIF, line probe assay, LAMP
- เพิ่มความไวในการวินิจฉัยในผู้ที่สงสัยวัณโรค
แต่ย้อมเสมหะไม่พบเชื้อ ให้ส่ง Xpert MTB/RIF
หรือ LAMP
- ทดสอบความไวต่อยา ถ้าสงสัยวัณโรคดื้อยา ได้แก่ เป็นซ้ำ ขาดยา สัมผัสวัณโรคดื้อยา หรือ กลุ่มเสี่ยง (DM, HIV, COPD, immunocompromised, silicosis, CKD, malnutrition, ผู้ต้องขังเรือนจำ, ผู้ติดยาเสพติด ติดสุรา, ผู้ป่วยผ่าตัดกระเพาะและลำไส้)
- Tuberculin skin test, Interferon gamma release assay (IGRA) นำมาวินิจฉัยไม่ได้ บอกได้เคยติดเชื้อมาก่อนหรือไม่เท่านั้น
**ผู้ป่วยโรคเอดส์ที่มี
CXR ปกติ แนะนำให้ตรวจ sputum
AFB ถ้าสงสัยวัณโรค
Tx:
คำแนะนำก่อนเริ่มรักษา
- Anti-HIV (ตรวจทุกราย)
- LFTs (อายุ
> 60 ปี,
ดื่มสุราประจำ,
โรคตับ,
มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ, HIV, malnutrition,
pregnancy)
- Cr (nephrotic syndrome,
CKD, DM with renal impairment, สูงอายุ,
ต้องใช้ยา
aminoglycoside)
- Eye examination (ผู้สูงอายุ
หรือมีความผิดปกติของสายตา)
- หยุดดื่มเหล้า
- New
(ผู้ป่วยใหม่ที่เชื้อไวต่อยา ไม่เคยรักษา หรือ เคยกินยา <
1 เดือน)
ให้ 2HRZE/4IR
- Treatment after interruption, วัณโรคดื้อยา, และ การรักษาในผู้ป่วย HIV, liver disease, renal disease, pregnancy โปรดศึกษาจาก guideline ใน reference ด้านล่าง
**H=Isonazid 5 mg/kg/d; R=Rifampicin 10 mg/kg/d; Z=Pyrazinamide 25 mg/kg/d; E=Ethambutol 15 mg/kg/d; S=Streptomycin 15 mg/kg/d; Km=Kanamycin; Lfx=Levofloxacin; Eto=Ethionamide; PAS=Para-aminosalicylic acid; Cs=Cycloserine; ให้ pyridoxine 50-75 mg ร่วมกับ H
**ยาเม็ดรวม 4FDC=H75
R150 Z400 E275; 2FDC=H75 R150 สามารถกินตามน้ำหนัก 30-37,
38-54, 55-70 kg จะกินวันละ 2,
3, 4 เม็ดตามลำดับ
- อาการทางผิวหนัง
- คันไม่มีผื่น ให้ antihistamine และกินยาต่อได้ อาการจะค่อยๆดีขึ้นในหลายสัปดาห์
- ผื่นคล้ายสิว ไม่มี systemic symptoms ให้ยาต่อได้
- Maculopapular rash หลายตำแหน่ง ให้หยุดยา ให้ antihistamine อาจให้ prednisolone ขนาดต่ำๆ
- ผื่นรุนแรง
+ mucosal involvement ให้
admit, หยุดยา,
prednisolone 40-60 mg/d
- คลื่นไส้ อาเจียน
อาจเกิดจากผลข้างเคียงของยาซึ่งมักเป็นเฉพาะหลังกินยา ไม่เป็นทั้งวัน
ส่วนอาการตับอักเสบมักเป็นหลังกินยาไปแล้วหลายสัปดาห์ มักมีอาการทั้งวัน
และมีเบื่ออาหาร ให้ตรวจ AST/ALT, TB
- ถ้า
AST/ALT > 3 เท่าของค่าปกติ
ให้หยุด H, R, Z และให้
E, quinolone, streptomycin ไปก่อน
เมื่ออาการดีขึ้น และ liver enzyme ปกติ
จึงค่อย rechallange H, R (ดูใน
guideline)
- ถ้า AST/ALT < 3 เท่าของค่าปกติ ให้กินยาต่อ นัดตรวจ AST/ALT 3 วัน
- Abnormal LFTs โดยที่ไม่มีอาการผิดปกติ
- ถ้า
TB > 3 mg/dL (AST/ALT < 3 เท่า)
ให้หยุด
R
- ถ้า AST/ALT < 5 ของค่าปกติ ให้กินยาต่อ นัดตรวจ AST/ALT ทุก 1 สัปดาห์
- ถ้า AST/ALT > 5 ของค่าปกติ ให้หยุด H, R, Z และให้ E, quinolone, streptomycin ไปก่อน
- Optic neuritis
มาด้วยมาเห็นสีผิดปกติ
(แดง-เขียว
เหลือง-น้ำเงิน)
ตามัว
ภาพตรงกลางดำมืด มองกลางคืนไม่ชัด กรอกตาแล้วเจ็บ เกิดจาก E
ให้หยุดยา
และปรึกษาจักษุแพทย์ กรณีที่อาการไม่ดีขึ้นอาจเกิดจาก INH
- นอกจากนี้ยังมีอาการไม่พึงประสงค์จากยาต้านวัณโรคอื่นๆ เช่น seizure, hepatitis, renal toxicity, bone marrow suppression, hearing loss, vestibular disturbance, hypothyroidism, gastritis, peripheral neuropathy, psychosis, depression, arthralgia, N/V, hypokalemia/hypomagnesemia, skin discoloration, QT prolongation โปรดศึกษาจาก guideline ใน reference ด้านล่าง
Drug interaction
- Rifampicin
เป็น
inducer ของ metabolism
โดยเฉพาะ
CYP450 จะลดระดับยาหลายชนิด เช่น
ยาคุมกำเนิกลุ่ม estrogen ยากันชัก
ยาป้องกันลิ่นเลือดแข็งตัว ยาปฏิชีวนะบางกลุ่ม ยาเคมีบำบัดบางกลุ่ม ยาเบาหวานบางกลุ่ม
และยาที่มีผลมากๆได้แก่ cyclosporine, HIV-1
protease inhibitors, itraconazole
- Isonazid
เป็น
inhibitor ต่อ CYP
enzyme จะเพิ่มระดับยาจนเป็นพิษได้ เช่น phenytoin,
CBZ และเพิ่มระดับของ BZD
เช่น
diazepam, triazolam
- ผลกระตุ้นของ rifampicin
จะมีมากกว่าผลยับยั้งของ
isoniazid เมื่อใช้ร่วมกันจะลดระดับ phenytoin
และ
diazepam
การลดการแพร่กระจายเชื้อวัณโรค
- ไม่จำเป็นต้อง admit ในช่วง 2 สัปดาห์แรก ยกเว้นมีข้อบ่งชี้อื่น
- วัณโรคปอดเสมหะบวก ให้แยกจากบุคคลอื่นอย่างน้อย 2 สัปดาห์แรกของการรักษา
- วัณโรคปอดให้ใช้หน้ากากอนามัยปิดปากและจมูกตลอดเวลาเมื่ออยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างน้อย 2 สัปดาห์แรกของการรักษา หรือ จนไม่ไอ หรือ ตรวจเสมหะไม่พบเชื้อ
- ใช้กระดาษปิดจมูก ปาก ขณะไอ จามในช่วงยังตรวจเสมหะพบเชื้อ ทิ้งกระดาษในภาชนะมีฝาปิดแล้วล้างมือทุกครั้ง บ้วนเสมหะใส่ชักโครกหรืออ่างล้างมือ ทำความสะอาด และล้างมือทุกครั้ง
- ให้คนที่อยู่ร่วมบ้านกับผู้ป่วยมาตรวจคัดกรองหาวัณโรค โดยเฉพาะเด็กอายุ < 5 ปี
วัณโรคนอกปอด
|
แนวทางการจัดการป้องกันวัณโรคสำหรับบุคลาการโรงพยาบาล
- โปรดศึกษาจาก guideline ใน reference ด้านล่าง
Ref:
แนวทางการวินิจฉัยและการดูแลรักษาผู้ป่วยวัณโรคในประเทศไทย
2018, Tintinalli ed8th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น