จากเอกสารประกอบการสอนของ นายแพทย์ภวัต ตันประสิทธิ์ แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน
· มากกว่า 3 คนขึ้นไป
· ขึ้นกับบริเวณที่เกิดเหตุการณ์ เมือง/ชนบท
· ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ป่วย trauma เสมอไป
ตัวอย่างของ MCI เช่น อุบัติเหตุรถยนต์ชนกันหลายคัน เหตุทะเลาะวิวาท ความวุ่นวายทางการเมือง ไฟไหม้อาคาร บ้านเรือน ท้องร่วงเฉียบพลันหมู่ การได้รับสารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม การอพยพย้ายถิ่น น้ำท่วมใหญ่
กุญแจสำคัญในการตอบสนองต่อเหตุอุบัติภัยหมู่ (MCI) คือ การเรียกร้องขอความช่วยเหลือและเตรียมพร้อมกำลังบุคลากรและทรัพยากรให้พร้อมเพรียงอย่างรวดเร็ว
ในสถานการณ์เช่นนี้ การระดมกำลังบุคคลและทรัพยากร ต้องให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
การจัดการอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนอง MCIs
· เรียกร้องความช่วยเหลือด้นกำลังบุคลากรและทรัพยากรให้เพียงพอ
· มีการสื่อสาร ประสานงานอย่างเหมาะสม
· จัดเตรียมรถพยาบาลและแผนการเดินทางให้พร้อม
· ดูแลให้การรักษาทางการแพทย์อย่างถูกต้องและเหมาะสม
· เคลื่อนย้ายผู้ป่วยหรือบาดเจ็บโดยถูกวิธีและมีประสิทธิภาพ
· ติดตามการรักษาต่อเนื่องของผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บ
ระบบสั่งการ Incident command system (ICS)
· ระบบต้องมีความยืดหยุ่นและมีมาตรฐาน
· ระบบจะจัดตั้งหน่วยงานย่อยอย่างไรขึ้นกับความซับซ้อนและชนิดของเหตุการณ์
5 หน่วยงานหลักที่จำเป็น
1. หน่วยสั่งการ (Command): ควบคุม ประเมินสถานการณ์ ประสานงานและสั่งการทุกๆหน่วยงาน
2. หน่วยวางแผน (Planning): รับรายละเอียดจากทุกฝ่ายแล้วทำการวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และวางแผนการทำงานเพื่อนำเสนอต่อหน่วยสั่งการ
3. หน่วยบริหารและงบประมาณ (Finance/administration): รับผิดชอบค่าใช้จ่าย หรือจัดทำข้อตกลงเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพยากรที่หน่วยสั่งการต้องการ รวมทั้งบันทึกกำลังคนที่ใช้ไป การบาดเจ็บ ความเสียหาย และค่าใช้จ่ายอื่นๆในการบริหารจัดการเหตุการณ์ คัดแยก รักษา และเคลื่อนย้ายมาทำงานร่วมกัน
4. หน่วยระบบจัดหาทรัพยากร (Logistics): รับผิดชอบในการจัดหาบริการต่างๆ อุปกรณ์ และวัตถุดิบที่จำเป็นในการสนับสนุนผู้ปฏิบัติงาน อาจรวมถึงการติดต่อสื่อสาร อาหาร น้ำดื่ม ยา และสิ่งปลูกสร้าง
5. หน่วยปฏิบัติการ (Operations): หน่วยนี้รับผิดชอบในการควบคุมสถานการณ์ และจัดการทรัพยากรทั้งหมด บทบาทค่อน ข้างแปรเปลี่ยนได้ง่าย อาจขยายการทำงานออกไปด้านกฎหมาย การควบคุมเพลิง และอื่นๆที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์
แล้วส่วนใหญ่เราจะทำงานฝ่ายไหน !!!
คำตอบก็คือ เราจะอยู่ในฝ่ายปฏิบัติการ ก็คือ หน่วยกู้ชีพ หรือ EMS นั่นเอง ซึ่งเราจะต้องไปจัดแบ่งทีมงานของเราเป็นหน่วยงานย่อยอีก 5 หน่วยงานย่อย แต่โดยทั่วไปอย่างน้อยต้องมี 3 หน่วยงานแรกก่อนได้แก่
1. หน่วยคัดแยก (Triage unit)
o คัดแยกผู้ป่วยออกเป็นกลุ่ม เพื่อส่งต่อให้การดูแลรักษาและเคลื่อนย้ายตามลำดับ
2. หน่วยดูแลรักษาพยาบาล (Treatment unit)
o ให้การดูแลรักษาให้เหมาะสม
o ดูแลรักษาตามที่หน่วยคัดแยกผู้ป่วยส่งมา : แดง เหลือง เขียว
3. หน่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วย (Transport unit)
o เคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปห้องผ่าตัด หอผู้ป่วยหรือส่งต่อไปรักษาที่รพ.อื่น
4. หน่วยกำลังและทรัพยากร (Staging unit)
o ดูแล จัดการ แจกจ่ายทรัพยากร รถพยาบาล ที่ต้องใช้
5. หน่วยรักษาศพ (Morgue unit)
o ดูแล จัดการ รักษาศพ
แนวคิดสำคัญที่ต้องปรับเปลี่ยนสำหรับทีมกู้ชีพ
· ทีมกู้ชีพทีมแรกต้องไม่ด่วนเข้าช่วยผู้ป่วย
· ทีมกู้ชีพทุกคนต้องไม่ลืมกฎข้อที่หนึ่ง คือ ที่เกิดเหตุและทีมงานทุกคนต้องมีความปลอดภัยเป็นอันดับแรกก่อนเสมอ
· จะต้องกำหนดให้มีพื้นที่สำคัญเพื่อปฏิบัติการในการควบคุมสถานการณ์
· ต้องนำคนบาดเจ็บมารวมกันที่หน่วยดูแลรักษาพยาบาล
· ต้องคัดแยกก่อนการให้การช่วยเหลือและเคลื่อนย้าย
· ต้องกำหนดให้มีผู้ทำหน้าที่ field commander
· ต้องมีข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อส่งคนไข้ไปยังโรงพยาบาลปลายทาง
· ผู้บริหารระดับสูงสามารถบัญชาการเหตุการณ์ได้ โดยไม่ต้องมาที่เกิดเหตุ
การเตรียมการก่อนเกิดเหตุ (Preparedness)
ก่อนเกิดเหตุอุบัติภัยเราต้องเตรียมการ 3 เรื่อง ได้แก่
1. การวางแผนบริหารจัดการ (Planning)
2. การเตรียมอุปกรณ์ (Equipment)
วงจรการวางแผน
· ทำแผน : ประชุม จัดทำ ทบทวนแผนอย่างสม่ำเสมอ
· สื่อแผน : สร้างสื่อที่อธิบายแผนให้จำและเข้าใจง่ายในทุกระดับ
· ซ้อมแผน : ซ้อมสถานการณ์หลายครั้งจนเกิดความคุ้นเคย
· ปรับแผน : ปรับปรุงแก้ไขข้อเสีย ข้อจำกัดของแผนให้ดียิ่งขึ้น
· อุปกรณ์ป้องกันตนเอง
ตัวอย่างอันตรายที่อาจเกิด
|
อุปกรณ์ป้องกันตนเอง
|
อุบัติเหตุจราจร
|
เสื้อสะท้อนแสง
|
ฝนหรือลม
|
เสื้อกันฝน เสื้อคลุม
|
การบาดเจ็บที่ศีรษะ
|
หมวกนิรภัยที่มีสายรัดคางและสีเด่นชัด
|
การบาดเจ็บที่ตา
|
แว่นตา
|
การบาดเจ็บใบหน้า
|
กระบังหน้า
|
การบาดเจ็บที่มือ
|
ถุงมือชนิดหนา
|
· อุปกรณ์ด้านการสื่อสารได้แก่ วิทยุสื่อสาร โทรศัพท์มือถือ นกหวีด โทรโข่ง และหากมีระบบการประชุมทางไกล อาจจำเป็นต้องมีระบบติดตั้งและดำเนินการ teleconference
การฝึกอบรม (Training)
· การเรียนทฤษฎี
· การฝึกปฏิบัติ
o การทำแบบฝึกหัดและแบบทดสอบ (Paper exercises)
o การฝึกสถานการณ์จำลองบนโต๊ะ (Table top exercises)
o การฝึกปฏิบัติตามโจทย์สถานการณ์ (Practical exercises without casualties)
o การฝึกปฏิบัติจริงในสถานการณ์จำลอง (Practical exercises with casualties)
การแบ่งพื้นที่
· Hot zone : พื้นที่อันตราย คัดแยกผู้ป่วยครั้งที่ 1 ผู้ปฏิบัติการต้องชำนาญสูง เนื่องจากต้องเข้าออกพื้นที่อย่างรวดเร็วและเท่าที่จำเป็น
· Warm zone : พื้นที่ต้องระวัง คัดแยกผู้ป่วยครั้งที่ 2 ดูแลรักษาพยาบาลเบื้องต้น และเป็นจุดรับผู้ป่วยโดยรถพยาบาล พื้นที่นี้ต้องควบคุมการจราจรและเข้าออกอย่างเคร่งครัด ดังนั้นต้องมีเครื่องหมาย เสื้อหรือบัตรแสดงตัวชัดเจน ตามหลักผู้บัญชาการจุดเกิดเหตุ (field commander) จะปฏิบัติงานในพื้นที่นี้
· Cold zone : พื้นที่ปลอดภัย สำหรับเจ้าหน้าที่สนับสนุนและผู้บริหารระดับสูง ผู้สื่อข่าวเพื่อติดตามสถานการณ์
แนวทางการรายงานเหตุการณ์มายังศูนย์สั่งการ
M : Major incident : เป็นเหตุการณ์สาธารณภัยหรือไม่
M : Major incident : เป็นเหตุการณ์สาธารณภัยหรือไม่
E : Exact location : สถานที่เกิดเหตุที่ชัดเจน
T : Type of accident : ประเภทของสาธารณภัย
H : Hazard : มีอันตราย หรือเกิดอันตรายอะไรบ้าง
A : Access : ข้อมูลการเดินทางเข้า-ออกจากที่เกิดเหตุ
N : Number of casualties : จำนวนและความรุนแรงของผู้บาดเจ็บ
E : Emergency service : หน่วยฉุกเฉินไปถึงหรือยัง และต้องการความช่วยเหลืออะไรอีกบ้าง
สรุปบทบาทของทีมกู้ชีพชุดแรกเมื่อไปถึง ณ จุดเกิดเหตุ
หัวหน้าทีม
- ประเมินสถานการณ์ ตัดสินใจประกาศสถานการณ์ และรายงาน METHANE มายังศูนย์สั่งการ
- สวมเสื้อคลุมและอุปกรณ์ป้องกันตนเอง
- เลือกพื้นที่ ที่จะเป็นที่จอดรถพยาบาลฉุกเฉิน
- พิจารณา ตัดสินใจว่าจะต้องระดมทรัพยากรมากน้อยแค่ไหนมาสนับสนุน
- กำหนดพื้นที่ปฏิบัติการ
ผู้ช่วย/สมาชิกทีม
- จอดรถพยาบาลใกล้จุดเกิดเหตุมากที่สุด ตามหลักความปลอดภัย โดยหันหน้าออกจากที่เกิดเหตุ
- สวมเสื้อคลุมและอุปกรณ์ป้องกันตนเอง
- เปิดสัญญาณไฟรถพยาบาลแสดงตำแหน่งจุดสั่งการ เพื่อเป็นจุดสังเกตให้ทีมสนับสนุนอื่นๆที่จะมาช่วยเหลือ
- แจ้งศูนย์สั่งการว่ามาถึงที่เกิดเหตุแล้ว คอยประสานกับหัวหน้าทีมกับศูนย์สั่งการ
- อยู่ประจำรถพยาบาล ห้ามนำกุญแจออกจากรถพยาบาล ไม่ควรดับเครื่อง พร้อมเคลื่อนย้ายตลอดเวลา เมื่อเกิดเหตุไม่ปลอดภัย
มีหลักการสำคัญ คือ บริหารจัดการทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยให้ได้จำนวนมากที่สุด
ดังนั้นผู้ป่วยที่เกิด cardiac arrest ในที่เกิดเหตุที่มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก เราจึงจำเป็นต้องติดป้าย “ดำ”
การคัดแยกครั้งที่ 1 (Primary triage)
· นิยมใช้บัตรหรือแถบริบบิ้นสีแดง เหลือง เขียว และดำ ในการคัดแยกผู้ป่วยเพื่อความสะดวกในการตัดสินใจเคลื่อนย้ายผู้ป่วยตามลำดับ
· กระทำใน Hot zone
· ต้องอาศัยผู้ชำนาญการและผู้ช่วยในการคัดแยกอย่างรวดเร็ว
· ต้องผ่านการประเมินความปลอดภัยพื้นที่จุดเกิดเหตุแล้ว (Scene size up) จึงเข้าไปคัดแยกได้
การแบ่งประเภทสีและระดับความรุนแรง
Color
|
Category
|
Priority status
|
Red
|
Immediate care and transport necessary
|
Priority 1 (P-1)
|
Yellow
|
Delayed emergency acre and transport
|
Priority 2 (P-2)
|
Green
|
Minor injuries and ambulatory patients
|
Priority 3 (P-3)
|
Black
|
Deceased or fatal injuries
|
Priority 4 (P-4)
|
การคัดแยกครั้งที่ 2 (Secondary triage)
· กระทำเมื่อผู้ป่วยเคลื่อนย้ายจากจุดเกิดเหตุมายังบริเวณจุดดูแลรักษาพยาบาล
· ทำเพื่อประเมินผู้ป่วยให้ละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม โดยผู้ป่วยอาจเปลี่ยนระดับสี เปลี่ยนระดับความรุนแรงได้ เช่น แย่ลง ดีขึ้นหรือเท่าเดิม
· หน่วยรถพยาบาลกู้ชีพจำเป็นต้องมีอุปกรณ์การคัดแยกที่พร้อมใช้งานตลอดเวลา
การคัดแยกครั้งที่ 1 นิยมใช้ START Triage system
· ระบบนี้ได้รับการยอมรับใช้แพร่หลาย มีกำเนิดจากสหรัฐอเมริกา
· START = Simple Triage And Rapid Transport
· สามารถใช้ได้กับผู้ใหญ่และเด็กที่มากกว่า 8 ปีขึ้นไป ถ้าไม่ทราบอายุเด็ก ให้ประมาณว่าน้ำหนักมากกว่า 45 กิโลกรัมก็ใช้ระบบการคัดแยกนี้ได้
***START triage ทำเป็นลำดับแรกที่จุดเกิดเหตุ เพื่อคัดแยกเพื่อป่วยก่อนย้ายมาจุดคัดแยกที่ 2 หน้าจุดดูแลรักษาพยาบาล
***การคัดแยกครั้งที่ 1 นี้ให้ใช้เวลาไม่เกิน 30 วินาทีต่อผู้ป่วย 1 ราย
สูตรท่องจำ “ARPM”
Ability to get up and walk (Ambulatory)
Respiratory status
Perfusion status
Mental status
Ability to walk (ambulatory or “walking wounded”)
· ผู้ป่วยที่สามารถลุกเดินได้ในที่เกิดเหตุ แม้ว่าจะมีการบาดเจ็บใดๆก็ตามà ประกาศและแจ้งให้ผู้ป่วยเดินไปที่จุดดูแลรักษาธงสีเขียว
· ถือว่าเป็นระดับที่รุนแรงน้อยที่สุด
· ไม่ควรให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้เดินไปเดินมาในที่เกิดเหตุ
Respirations
เริ่มต้นประเมินผู้ป่วยที่เดินไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม ตามลำดับดังนี้
· looking, listening and feeling สำหรับการหายใจ นับ 1-6 ว่าหายใจได้กี่ครั้ง คูณด้วย 10 เป็นอัตราการหายใจต่อนาที
· if RR > 30 , ติดป้าย “แดง” และเคลื่อนไปประเมินผู้ป่วยคนต่อไป
· if RR < 30 , ประเมิน perfusion
· ถ้าไม่พบการหายใจà open airway à ถ้าเริ่มหายใจ à นับอัตราการหายใจโดยนับ 1-6
· กรณีที่หายใจได้ช้า ตื้น ไม่เพียงพอหรือต้องใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจใดๆ à ติดป้าย “แดง”
· ถ้าเปิดทางเดินหายใจแล้ว ผู้ป่วยยังไม่หายใจà ติดป้าย “ดำ”
Perfusion
ประเมิน capillary refill and radial pulse ถ้าแขนขาดประเมินข้างที่ไม่ขาด ถ้าขาดสองข้างให้ติดป้าย “แดง”
· if capillary refill < 2 sec และ radial pulse is present à ประเมิน mental status เป็นลำดับต่อไป
· if capillary refill > 2 sec หรือ radial pulse is absent à ติดป้าย “แดง”
· keep in mind à capillary refill time ขึ้นกับหลายๆปัจจัย : age, sex, environment ดังนั้น radial pulse อาจเป็นตัวบ่งชี้สภาวะการไหลเวียนโลหิตที่ดีกว่า
Mental status
· พึงระลึกไว้ว่า ถ้ามาถึงขั้นตอนนี้ได้ ผู้ป่วยต้องมีอัตราการหายใจ < 30, หายใจเองได้เพียงพอ, คลำ radial pulse ได้ และมี capillary refill < 2 sec
· ประเมินผู้ป่วย โดยให้ผู้ป่วยทำตามสั่ง คือ กำนิ้วมือผู้ตรวจ
· ถ้าผู้ป่วยทำตามได้ à ติดป้าย “เหลือง”
JumpSTART Pediatric Triage system
· START triage อาจเกิดข้อผิดพลาดในเด็กได้ เพราะเด็กที่อายุต่ำกว่า 8 ปีมีสรีรวิทยาการหายใจ การไหลเวียนโลหิตแตกต่างจากผู้ใหญ่
· JumpSTART : พัฒนามาเพื่อคัดแยกผู้ป่วยเด็กโดยเฉพาะ
- สำหรับเด็กอายุ 1-8 ปี
- ในเหตุการณ์สาธารณภัยที่ผู้บาดเจ็บมีจำนวนมาก การแยกและประเมินอายุเด็กค่อนข้างยาก ถ้าผู้ป่วยใดก็ตามที่ผู้ประเมินจากภายนอกแล้วคิดว่าเป็นเด็กก็ให้ใช้การคัดแยกนี้ได้
จุดแตกต่างระหว่างเด็กและผู้ใหญ่
· ผู้ใหญ่ : severe head injury/severe blood loss àcirculatory failure à respiratory arrest
· เด็ก : respiratory arrest à circulatory failure and cardiac arrest
· ดังนั้น Respiratory arrest ในเด็กจึงเกิดขึ้นในระยะเวลาที่น้อยกว่าผู้ใหญ่มาก
· ทารก (อายุน้อยกว่า12 เดือน) มีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาที่รวดเร็วและแตกต่างจากเด็กโตมาก
· การคัดแยกทารกโดยใช้ JumpSTART system จึงต้องตั้งใจและประเมินให้แม่นยำà โดยทั่วไป ถ้าเราไม่พบการบาดเจ็บภายนอกใดๆที่ตัวทารก à ติดป้าย “เขียว”
JumpSTART ใช้เกณฑ์เช่นเดียวกันกับ START
Ability to walk around the scene (Ambulatory)
Respiratory status
Perfusion status
Mental status
***สำหรับเด็ก เวลาที่ใช้ประเมินจะลดลงเหลือเพียง 15 วินาทีต่อผู้ป่วย 1 ราย
JumpSTART Ambulatory
· ให้คัดแยกโดยรวมเด็กที่มีความผิดปกติเดินไม่ได้หรือพิการมาตั้งแต่เด็กด้วย
· โดยถ้าไม่พบลักษณะความรุนแรงต่อสัญญาณชีพà ติดป้าย“เขียว”
JumpSTART Breathing
· If RR 15-45 à ประเมิน pulse
· If RR <15>45 15>à ติดป้าย “แดง”
· ถ้าไม่หายใจหรือหายใจเฮือก ไม่สม่ำเสมอ à open airway à ถ้าเริ่มหายใจด้วยตนเอง à ติดป้าย “แดง”
· ถ้าเปิดทางเดินหายใจและ ตรวจ radial pulseไม่ได้ แล้วเด็กยังไม่หายใจ à ติดป้าย “ดำ”
· เหตุที่ต้องประเมิน pulse เพราะจากสรีรวิทยาของเด็กดังกล่าวเบื้องต้นแล้ว พบว่า หากพบ cardiac arrest แล้ว แสดงว่าร่างกายเด็กได้ผ่านพ้น respiratory arrest ไปแล้ว โอกาสที่จะฟื้นคืนกลับมามีน้อยมาก
· แต่ถ้ายังคลำ radial pulse ได้หลังจาก open airway àให้ช่วยหายใจโดยปากหรืออุปกรณ์ 15 วินาที (ประมาณ 5 breaths)
o ถ้ายังคงไม่หายใจ à ติดป้าย “ดำ”
o ถ้าเริ่มหายใจ à ติดป้าย “แดง”
JumpSTART Perfusion
· ถ้า peripheral pulse คลำได้ à ประเมิน mental status
· ถ้าไม่มี peripheral pulse à ติดป้าย “แดง”
· Peripheral pulse ควรตรวจสอบในข้างที่มีการบาดเจ็บน้อยที่สุด
· ในเด็กที่มีการบาดเจ็บ Capillary refill ไม่ต้องทำ เนื่องจากเชื่อถือได้น้อยมาก
JumpSTART Mental status
· ในเด็กให้ใช้ ระบบประเมิน AVPU
· หากเด็กมีระดับการรู้สึกตัว A ,V หรือ Pà ติดป้าย “เหลือง”
หากเด็กไม่ตอบสนองใดๆ (U) หรือ ตอบสนอง pain ด้วยเสียงอืออาหรือการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ à ติดป้าย “แดง”
รูปแบบอื่นๆที่อาจใช้ในการคัดแยก
· Triage sieve and sort
o ตัดการประเมิน “M” mental status ออกไป
o แต่การประเมินในเด็กให้ใช้เทปยาววัดตามขนาดเด็กซึ่งในประเทศไทยยังไม่มี
o สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติของไทย ใช้ระบบนี้
Triage sieve: adult
Triage sort
GCS
|
SBP
|
RR
|
Coded value
|
13-15
|
>89
|
10-29
|
4
|
9-12
|
80-89
|
>29
|
3
|
6-8
|
50-79
|
6-9
|
2
|
4-5
|
1-49
|
1-5
|
1
|
3
|
0
|
0
|
0
|
ป้ายคัดแยกที่สพฉ.และโรงพยาบาลในประเทศไทยใช้
หน่วยดูแลรักษาพยาบาล (Treatment unit)
หลักการสำคัญคือ ให้การดูแลรักษาเท่าที่จำเป็นต่อ non life threatening conditions
- ให้ใช้ long board เพื่อ immobilize ทั้งตัวไปเลยแทนที่จะเสียเวลามา splint แขนขาทีละข้าง
- ห้ามเลือดและปิดแผล หากผู้ป่วยพอรู้สึกตัว ให้ผู้ป่วยห้ามเลือดด้วยตนเองหรือผู้บาดเจ็บอื่นที่อาการไม่หนักมากช่วยกดแผลห้ามเลือดให้
หน่วยรักษาศพ (Morgue unit)
· หัวหน้าหน่วยนี้ ต้องรับผิดชอบประสานงานการเคลื่อนย้ายศพไปไว้ยังที่ปลอดภัย
· ควรมีการฝึกฝน เตรียมใจการรับสถานการณ์ผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และสามารถเตรียมรับปัญหาที่เกิดขึ้นจากญาติและเพื่อนใกล้ชิดผู้ตายได้
· ประสานกับศูนย์สั่งการ เพื่อรับรองจำนวนผู้เสียชีวิตและให้ศูนย์สั่งการเป็นผู้ประกาศเท่านั้น เพื่อลดความสับสน
หน่วยกำลังทรัพยากรและการเคลื่อนย้าย (Staging and transport unit)
· หน่วยกำลังทรัพยากร ต้องคอยติดตาม ประสานงาน จัดส่งกำลังอุปกรณ์ เวชภัณฑ์และจัดระเบียบรถพยาบาลเข้ารับผู้ป่วยจากหน่วยดูแลรักษาพยาบาล
· หน่วยเคลื่อนย้ายต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยตามระดับความรุนแรงที่หน่วยคัดแยกและรักษาพยาบาลแบ่งระดับไว้ โดยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่รุนแรงมากที่สุดไปยังโรงพยาบาลปลายทางก่อน
· ควบคุม ดูแลงาน ภายใต้คำสั่งของหัวหน้าหน่วยและผู้บัญชาการเหตุการณ์
· หน่วยงานนี้ต้องประสานงานเชื่อมต่อกับหน่วยงานภายนอกและโรงพยาบาลปลายทาง
· หน่วยงานนี้ต้องประสานงานเชื่อมต่อกับหน่วยงานภายนอกและโรงพยาบาลปลายทาง
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพ
· ณ จุดเกิดเหตุ ก่อนและระหว่างการเคลื่อนย้าย เจ้าหน้าที่คัดแยกต้องติดตามผู้ป่วยพร้อมกับการเคลื่อนย้ายด้วย
· เคลื่อนย้ายโดยเรียงตามลำดับความรุนแรง : emergency/urgency/non urgent moves
· ช่วงการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปโรงพยาบาลต้องมีคำแนะนำเบื้องต้นจากหน่วยกำลังทรัพยากรและการเคลื่อนย้ายว่า ทางที่จะเข้า ออกจากพื้นที่ เส้นทางที่สะดวก เหมาะสมไปยังโรงพยาบาลปลายทาง
· มีเจ้าหน้าที่ส่งข้อมูลเบื้องต้นของผู้ป่วยที่จะไปโรงพยาบาลนั้นๆกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลปลายทางก่อนหรือขณะเดินทางทุกราย
· ควรหลีกเลี่ยงการสื่อสารโดยใช้โทรศัพท์ส่วนตัว ควรใช้เครื่องสื่อสารกลาง เพื่อลดความซ้ำซ้อนและสัญญาณที่อาจติดขัดและมีปัญหาจากการใช้บริการที่มากเกินในพื้นที่
· ผู้ป่วยระดับสีเขียว สามารถเคลื่อนย้ายโดยให้อยู่ในรถใหญ่คันเดียวกันได้
· ถ้าเป็นไปได้ รถพยาบาลควรมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตพื้นฐานที่เพียงพอ
· หากขณะนำส่งผู้ป่วยระหว่างทาง ผู้ป่วยแย่ลง ให้จัดการแก้ไขไปด้วยและต้องสื่อสารถึงโรงพยาบาลปลายทางเพื่อเตรียมรับผู้ป่วยอย่างเหมาะสมด้วยทุกครั้ง
การสื่อสาร (Communications)
· การสื่อสารในสาธารณภัยส่วนมากจะเกิดความสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก
· เมื่อมีการจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์และหน่วยต่างๆแล้ว การสื่อสารจะเริ่มเป็นระเบียบมากขึ้น
· ปัญหาการสื่อสารที่พบบ่อย คือ อุปกรณ์ไม่เพียงพอหรือไม่พร้อมใช้ จุดอับสัญญาณ และการสื่อสารที่ไม่เป็นระบบทำให้เกิดความเข้าใจผิด
· “อย่าปล่อยให้ปัญหาการสื่อสารมาเป็นสิ่งสำคัญไปกว่าการดูแลรักษาและจัดการผู้ป่วย”
การติดตามและรักษาความสงบเรียบร้อย
· เมื่อเคลื่อนย้าย รับ-ส่งผู้ป่วยจนหมดจากที่เกิดเหตุไปยังโรงพยาบาลปลายทางแล้ว ทีมกู้ชีพอาจต้องช่วยเหลือผู้ป่วยต่อ หากโรงพยาบาลปลายทางร้องขอ เนื่องจากกำลังคนไม่เพียงพอ
· หากไม่มีการเรียกร้องความช่วยเหลือใดๆแล้วให้รีบกลับไปประจำจุดที่ตั้งหน่วยตามปกติ และเตรียมพร้อมออกปฏิบัติการหากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำอีก
· ผู้บัญชาการเหตุการณ์และศูนย์สั่งการจะออกจากที่เกิดเหตุเป็นลำดับสุดท้าย เนื่องจากหลังเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจนหมดแล้ว ยังต้องประเมินสถานการณ์และจัดการความสงบเรียบร้อยของเหตุการณ์ให้เสร็จสิ้น
ได้รับประโยชน์จากบทความของคุณหมอ...ขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบขอบคุณมากครับ
ตอบลบสุดยอดจริงๆครับ
ตอบลบขอบพระคุณอย่างสูงขอรับ
ขอบคุณครับ
ตอบลบขอบคุณค่ะอาจารย์ ^^
ตอบลบ