จริยธรรมการแพทย์ (Medical
ethic) และปัญหาความขัดแย้งในแง่จริยธรรม (Medical dilemma)
หลักจริยธรรมการแพทย์ ได้แก่
- Autonomy การยอมรับในเจตจำนงอิสระ (freedom of will) ว่ามนุษย์ (ที่มีสติสัมปชัญญะ) มีสิทธิในการกำหนดชีวิตตัวเอง จากเดิมที่แพทย์เป็นคนตัดสินใจเลือกตัวเลือกในการรักษาที่ดีที่สุดแทนผู้ป่วย (Paternalistic) มาเป็นการที่แพทย์ต้องให้ข้อมูลแก่ผู้ป่วยแล้วให้ผู้ป่วยตัดสินใจเอง (informed consent) แม้ว่าจะเป็นการปฏิเสธการรักษาหรือการแสดงเจตจำนงเกี่ยวกับการรักษาในวาระสุดท้ายของชีวิต (Living will)
- Beneficence การกระทำเพื่อส่งเสริมสุขภาวะ (well-being) ของผู้ป่วย
- Non-maleficence (Do no harm) การกระทำอะไรแก่ผู้ป่วย ไม่ใช้แค่ดูว่ามีประโยชน์เท่านั้น ยังต้องพิจารณาว่าไม่ทำอันตรายแก่ผู้ป่วยด้วย หรืออย่างน้อยต้องให้ผู้ป่วยทราบถึงประโยชน์และโทษที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำหนึ่งๆเสียก่อนที่จะทำ (Double effect)
- Justice การตัดสินใจในกระจายทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดให้แก่ผู้ป่วยด้วยความยุติธรรม
Medical dilemma
คือ ปัญหาทางการแพทย์ที่เกิดขึ้นเมื่อมีความขัดแย้งกันเองในหลักการของจริยธรรม
(เช่น autonomy กับ beneficence) หรือความขัดแย้งระหว่างการรักษาประโยชน์ของผู้ป่วยกับประโยชน์ที่เกิดกับคนส่วนมาก
ในแง่ความขัดแย้งกันเองในหลักการของจริยธรรม
เช่น กรณีผู้ป่วยปฏิเสธในการให้เลือด (หลัก autonomy) แม้ว่าจะมีอันตรายถึงชีวิตก็ตาม (หลัก beneficence)
หรือในกรณีการุณยฆาต (euthanasia) การตัดสินใจของแพทย์อาจจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความเชื่อทางสังคม
บรรทัดฐาน ค่านิยม รวมถึงข้อกฎหมายในสังคมนั้นๆ
ในปัจจุบันเมื่อประสบกับปัญหา
medical
dilemma ส่วนใหญ่จะให้อิงกับข้อกฎหมายและแนวทางปฏิบัติที่มีอยู่ก่อน
สำหรับปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้อาจต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานหรือจากคณะกรรมการจริยธรรม
ขั้นสุดท้ายคือการตัดสินใจด้วยเหตุผลภายใต้ข้อมูลทั้งหมดที่มี
มโนทัศน์ในเรื่องหลักการต่างๆ
สิทธิ (Rights) คือความชอบธรรมในการเรียกร้อง
โดยนัยให้ผู้อื่นต้องเคารพและปฏิบัติตาม (แผงนัยว่าแต่ละคนมีพันธะหน้าที่ที่ต้องทำบางอย่างให้แก่คนอื่น) แนวคิดเรื่องนี้มีความเห็นแตกต่างกันแยกเป็น 2 ประเด็นคือสิทธิโดยธรรมชาติ
ซึ่งไม่อาจละเมิดได้ มาจากความเชื่อที่ว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ทุกคนให้เท่าเทียวกัน
เพราะฉะนั้นมนุษย์ทุกคนย่อมมีอิสระและเสมอภาคกัน หรือ สิทธิเป็นสิ่งที่มนุษย์ร่วมกันตกลงขึ้น
ในฐานะที่เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการกระจายผลประโยชน์ให้แต่ละบุคคล
เพราะฉะนั้นการตัดทอนและการละเมิดสิทธิบางอย่างของคนในสังคมนั้นสามารถกระทำได้
หากทำให้ผลประโยชน์โดยรวมที่เกิดแก่สังคมนั้นดีกว่าเดิม
- ปัญหาคือท่านเห็นว่าสิทธิของแต่ละบุคคลกับผลประโยชน์สูงสุดของสังคมนั้นอะไรสำคัญกว่ากัน? แล้วถ้าคิดว่าผลประโยชน์สูงสุดของสังคมนั้นสำคัญกว่าจะใช้เกณฑ์อะไรมาเปรียบเทียบผลประโยชน์นั้น?
การพิจารณาหลักการจริยธรรมในแง่กฎสมบูรณ์ (deontological
ethics) คือการพิจารณาความถูกต้องโดยพิจารณาที่ตัวการกระทำ
ไม่พิจารณาผลของการกระทำ โดยอาศัยกฎจริยธรรมซึ่งเป็นกฎสากล โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างกันในสถานการณ์ต่างๆ
หลักการนี้เพื่อหลีกเลี่ยงอคติที่อาจจะเกิดขึ้นในการเลือกที่จะกระทำ
ปัญหาก็คือการใช้หลักการนี้ไม่มีความยืดหยุ่น หรือเมื่อเกิดความขัดแย้งกันเองในหลักการจริยธรรม
(เช่นความขัดกันของ autonomy กับ beneficence
ข้างต้น) ก็ไม่สามารถใช้หลักการนี้แก้ปัญหาได้
ถ้าจะตีความกฎนี้อย่างแคบลง
เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น เป็นกฎเชิงปฏิเสธ
มากกว่าเป็นกฎที่บอกให้กระทำ ยกตัวอย่างเช่น “จงอย่ากล่าวเท็จ”
แทนการที่บอกว่า “จงกล่าวความจริง” ในกรณีแพทย์บอกความจริงเพียงบางส่วนแก่คนไข้
เพราะกลัวคนไข้ตกใจจนอาการทรุดลง
- ปัญหาคือคำถามเรื่องที่มาของกฎสากลและเหตุผลสนับสนุน และยังมีปัญหาจากการตีความอย่างแคบ เช่นว่าการกล่าวเท็จเป็นความผิด แต่การเก็บงำความจริงถือว่าไม่ผิดเป็นต้น
- ถ้าจะนำกฎจริยธรรมไปผูกติดกับศาสนาแล้ว กฎจริยธรรมย่อมไม่เป็นสากล เพราะมีการผันแปรไปแตกต่างกันไปตามความเชื่อของศาสนาต่างๆ จึงมีความพยายามให้จริยธรรมแยกตัวเป็นเอกเทศจากศาสนาโดยการประดิษฐ์จริยธรรมขึ้นมาในอาชีพต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาชีพแพทย์ แต่ระบบจริยธรรมในสังคมไทยยังเห็นได้ว่ามีการใช้คำสอนในศาสนามาเป็นตัวประเมินค่าการกระทำถูกผิด แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลทางศาสนาที่แทรกซึมอยู่ในหลักจริยธรรมไม่สามารถแยกออกจากกันได้อย่างแท้จริง
- ปัญหาอยู่ที่ว่าเราจะพิจารณาผลของการกระทำแต่ละครั้งแยกจากกัน หรือจะมองในภาพรวม เช่น การที่แพทย์โกหกผู้ป่วยรายหนึ่งทำให้เกิดผลดี แต่ถ้าเปิดโอกาสให้แพทย์โกหกผู้ป่วยได้แล้วจะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าหรือไม่
- การมุ่งให้เกิดผลดีสูงสุดนั้น เป็นผลดีสูงสุดกับตัวผู้กระทำ (แพทย์) หรือผู้ถูกกระทำ (ผู้ป่วย) หรือจะรวมญาติพี่น้อง สังคมเข้าไปด้วย หรือจะพิจารณาทุกคนที่เกี่ยวข้องโดยยกเว้นตัวผู้กระทำ ก็ขึ้นอยู่กับคุณค่าที่เรายึดถือ
- ถ้าการกระทำนั้นก่อให้เกิดผลเสียแก่ผู้ถูกกระทำ (ผู้ป่วย) แต่เกิดผลดีกับคนที่เกี่ยวข้อง แล้วเราจะใช้อะไรมาตัดสินว่าการกระทำนั้นก่อให้เกิดประโยชน์กับใครมากกว่า
- ปัญหาก็คือปัญญาเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งในแง่จริยธรรม (medical dilemma) ได้เหมือนกัน
- “ผู้ป่วยแจ้งให้แพทย์ปกปิดการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ของตนกับภรรยา” เป็นความขัดแย้งระหว่างการปกปิดความลับของผู้ป่วยและประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับภรรยาในการป้องกันการติดเชื้อ ถ้าแพทย์พิจารณาว่าอันตรายร้ายแรงกำลังจะเกิดขึ้นกับภรรยาของผู้ป่วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากการปกปิดข้อมูลนี้ แพทย์ก็ควรต้องบอกข้อมูลนี้แก่ภรรยาผู้ป่วย
- “แพทย์สั่งยาผิดมีผลให้ผู้ป่วยได้รับอันตราย” ถ้าพิจารณาในกฎสมบูรณ์หรือการมุ่งให้เกิดผลดีสูงสุดเมื่อมองในภาพรวมว่า ถ้าเปิดโอกาสแพทย์ปกปิดข้อมูลแล้วไม่ผิด จะก่อให้เกิดผลเสียในภาพรวมเกิดขึ้น (มุมมองเชิงอุดมคติ) แพทย์ควรต้องบอกข้อมูลนี้แก่ผู้ป่วย (แต่ถ้ามองประโยชน์แยกในแต่ละการกระทำแล้วท่านอาจจะเห็นต่างออกไป)
- “ผู้ป่วยปฏิเสธการรักษา แม้ว่าจะมีอันตรายถึงชีวิต” ข้อนี้ถ้ามองในแง่เจตจำนงอิสระย่อมมีความชัดเจนว่าต้องทำตามความต้องการของผู้ป่วย แต่ถ้ามองในแง่จริยศาสตร์เชิงคุณธรรมแล้ว หลักการข้อหนึ่งคือการทำให้เกิดความเจริญงอกงามขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าตัวอาจตัดสินใจผิดได้ เพราะหลอกตัวเองหรือไม่เข้าใจ
- “เรื่องความสูญเปล่าทางการแพทย์ (medical futility)” บางครั้งก็บอกยากว่าการกระทำนั้นๆเป็นการสูญเปล่าในการยืดชีวิตหรือไม่ และมีทั้งบริบททางสังคมให้พิจารณา ถ้ากระทำแล้วเกิดประโยชน์ในภาพรวมสูงกว่าก็ควรกระทำ
- “ประเด็นเรื่องความยุติธรรมในการจัดสรรทรัพยากร (Justice)” ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกที่จะช่วยชีวิตคนใดคนหนึ่งเพราะทรัพยากรมีจำกัด ส่วนใหญ่ก็จะใช้หลักการเลือกตามลำดับดังนี้ ได้แก่ เลือกคนที่มีโอกาสรอดมากกว่า เลือกคนที่มาก่อน เลือกช่วยคนที่จะเกิดประโยชน์มากกว่า (เช่นเลือกคนท้องก่อน หรือเลือกช่วยคนที่มีประโยชน์กับสังคมมากกว่า) (ทางเลือกสุดท้ายอาจจะเป็นคนที่ให้มากกว่า)
- “แพทย์เขียนปกปิดความจริงบางส่วนเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ป่วย เช่น เบิกประกันได้” การปกปิดความจริง อาจมองได้ว่าเป็นการเขียนช่วยผู้ป่วยเพราะเราไม่ได้บอกความเท็จ และบริษัทประกันมีแนวโน้มที่จะรักษาผลประโยชน์ตัวเองมากกว่าที่จะคำนึงถึงสวัสดิภาพของผู้ป่วย แต่ถ้ามองในภาพรวมอาจจะมีผลเสียก็ได้
Ref: www.Philospedia.net; medical ethic, wikipedia
ความเป็น autonomy (อัตตาณัติ) จะสมบูรณ์ได้จะต้องมี "ความสามารถในการคิดทบทวนตนเอง (self-reflection)" นั้นคือความสามารถในการเลือกความปรารถนาที่แท้จริงของตนได้โดยอิสระ ไม่ถูกครอบงำด้วยปัจจัยใดๆ เพราะฉะนั้นคนที่จะมี autonomy จะสามารถตัดสินใจเลือกได้เองโดยไม่ถูกแทรกแซงจากบุคคลอื่น (แม้ว่าจะเป็นคนที่ปรารถนาดี หรือมีความรู้มากกว่า) จะต้องมีคุณสมบัติพื้นฐานเช่น จะต้องโตเป็นผู้ใหญ่ หรือไม่ได้สูญเสียความสามารถในการตัดสินใจไป (ป่วย มึนเมา) ซึ่งหลายคนจะมองว่าในกรณีดังกล่าวการแทรกแซงแบบปิตานิยมย่อมเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
ตอบลบการตัดสินเรื่องความเสมอภาค (Equality) มีวิธีหนึ่งที่น่าสนใจคือการใช้ “ม่านแห่งความไม่รู้” (veil of ignorance) โดยการที่ไม่นำความแตกต่างด้านเศรษฐกิจ ตำแหน่งหน้าที่ ชาติกำเนิด ฯลฯ มาใช้พิจารณาแบ่งสรรทรัพยากรและสิทธิประโยชน์ สิ่งเดียวที่คำนึงถึงคือสถานะของความเป็นมนุษย์ผู้มีเหตุผลและมีเป้าหมายชีวิตเป็นของตนเอง เสมือนหนึ่งว่าเราอยู่หลังม่านแล้วเราต้องใช้เหตุผลในการจัดสรรทรัพยากร โดยที่เราไม่รู้เลยว่าเมื่อเปิดม่านออกมาแล้วเราจะมีสถานภาพอย่างไร
ตอบลบ