วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

Non-technical skills

Non-technical skills
  • ความปลอดภัย คือ การควบคุมและรักษาสภาวะที่อาจก่อให้เกิดความสูญเสียต่อบุคคลและทรัพย์สินให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ การลงทุนเพื่อให้เกิดความปลอดภัยต้องไม่มากเสียจนทำให้องค์กรล้มละลาย หรือไม่น้อยเกินไปจนเกิดหายนะจากอุบัติเหตุ ระดับที่เหมาะสมนี้ เรียกว่าเป็น safety space หรือ พื้นที่ปลอดภัย
  • ในการทำงานบ่อยครั้งเกิดความผิดพลาด (error) ขึ้น ซึ่งอาจเป็นความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจ เช่น การเผอเรอ (slip) หรือการลืม (lapse) หรือเป็นความผิดพลาดที่ตั้งใจ เช่น เกิดจากความเข้าใจผิด (mistake) ซึ่งเกิดจากการขาดความรู้ หรือ จากการฝ่าฝืน (violation) ซึ่งอาจเกิดจากผู้ปฏิบัติเห็นว่าวิธีของตนดีกว่าแนวทางปฏิบัติขององค์กร เป็นต้น
  • ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเรียกว่า สถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ (undesired state) นำไปสู่อุบัติการณ์ (incident) หรือ อุบัติเหตุ (accident)
  • เรามีหน้าที่วิเคราะห์ สอบสวนว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้น มีปัจจัยอะไรอยู่เบื้องหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นอีก ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความผิดพลาดขึ้น เรียกว่า ภัยคุกคาม (threat) อาจเป็นปัจจัยภายนอก หรือ ปัจจัยภายใน เช่น ความเหนื่อยล้า ความเครียด สภาพร่างกายและจิตใจของผู้ปฏิบัติงาน
  • ในการวิเคราะห์หาปัจจัยที่ทำให้เกิดความผิดพลาดนี้ นอกจากความผิดพลาดของผู้ปฏิบัติ (active failure) แล้ว เราต้องพยายามแยกแยะหาสาเหตุของระบบ หรือ ปัญหาที่แฝงเร้น (latent failure) อยู่ด้วย ซึ่งระบบที่ทำงานเป็นปกตินั้นควรที่จะต้องสามารถป้องกันการทำงานผิดพลาดของผู้ปฏิบัติได้
  • มนุษยปัจจัย (Human factors) กล่าวถึงการที่มนุษย์มีข้อจำกัดหลากหลายประการ ทั้งข้อจำกัดทางการรับรู้ ไม่ว่าจะเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น หรือกาย ล้วนถูกจำกัดด้วยอิทธิพลของสภาพแวดล้อม หรือจากตัวบุคคลเอง เช่น อายุ สุขภาพ ความอ่อนล้า การอดนอน ความเครียด ยา หรือสารเสพติด เป็นต้น และข้อจำกัดจากการทำงานร่วมกันระหว่างคนกับคน หรือ คนกับคู่มือ/กฎระเบียบ หรือ คนกับอุปกรณ์/เครื่องมือ เป็นต้น จึงมีการนำความรู้เรื่องข้อจำกัดเหล่านี้ไปออกแบบอุปกรณ์และขั้นตอนการปฏิบัติที่เหมาะสมกับมนุษยปัจจัย เพื่อลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดขึ้น หรือ ที่เรียกว่า Human factors engineering design เช่น ออกแบบอุปกรณ์/ผลิตภัณฑ์ที่ง่ายต่อการใช้งาน ออกแบบระบบบันทึก การทำ checklist การตั้งสัญญาณเตือนในระดับที่เหมาะสมไม่มากหรือน้อยเกินไป เป็นต้น


 Non-technical skills หรือ อาจเรียกว่าทักษะการคิด ชีวิต และสังคม เป็นทักษะที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดจากการทำงาน ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารและการจัดการภายในทีม โดยมีทักษะที่น่าสนใจ ได้แก่
  • การตระหนักสถานการณ์ (Situation awareness)
  • การตัดสินใจในเวชปฏิบัติ (Clinical decision making)
  • การทำงานเป็นทีม (Teamwork)
  • การสื่อสาร (Communication)
  • ภาวะผู้นำ (Leadership)
  • การจัดการความเครียดและความเหนื่อยล้า (Stress and fatigue management)


การตระหนักสถานการณ์ (Situation awareness)
  • คือ การรับรู้สิ่งต่างๆรอบๆตัว นำมาคิดวิเคราะห์ แล้วคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้น
  • การให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่มีความถูกต้องและครบถ้วน ควรทำแบบมีแบบแผน เช่น
    • Standard operation procedure (SOP) เช่น แนวทางปฏิบัติการจัดการอุบติภัยหมู่ แนวทางปฏิบัติเมื่อผู้ป่วยเสียเลือดมาก เป็นต้น
    • Checklist มี 2 ประเภท คือ 1) Read and Do checklist ใช้เมื่อเจอปัญหาเพื่อให้สามารถจัดการกับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม เช่น anaphylaxis shock checklist; 2) Do then Read ใช้ในงานปกติที่ทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อยืนยันว่าไม่มีขั้นตอนใดถูกละเลยไป เช่น time out ก่อนผ่าตัด
    • Briefing คือ การบรรยายสรุปก่อนการทำงานใดงานหนึ่ง เพื่อให้ทีมมีความเข้าใจและคาดการณ์สถานการณ์ได้ตรงกัน
    • Team situation awareness คือ การสร้างบรรยากาศในองค์กรที่คนอยากแบ่งปันการตระหนักสถานการณ์ของตนเองกับผู้อื่น นำความเสี่ยงมาเล่าสู่กันฟังอย่างสะดวกใจ และทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
  • ข้อควรระวังในการตระหนักสถานการณ์ คือ อคติที่เกิดขึ้นในการรับรู้และการเลือกรับข้อมูล เช่น คนเรามีแนวโน้มที่จะเชื่อสมมติฐานแรก (primary effect) และ พยายามตีความข้อมูลใหม่ๆให้สอดคล้องกับมุมมองของตนเอง หรือ กรองข้อมูลใหม่ๆที่ขัดแย้งกับความเชื่อของตนเองทิ้งไป เรียกว่า อคติจากการเลือกรับข้อมูล (confirmation bias) เป็นต้น


การตัดสินใจในเวชปฏิบัติ (Clinical decision making)
  • เป็นกระบวนการต่อเนื่องในการวิเคราะห์ทางเลือก พิจารณาว่าจะทำหรือไม่ทำสิ่งใด ซึ่งมีปัจจัยรบกวนหลายอย่าง เช่น การได้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ข้อมูลมากหรือน้อยเกินไป การขาดประสบการณ์ ขาดอุปกรณ์ ความอ่อนล้าจากการทำงาน ความคาดหวังของผู้ป่วย ญาติ หรือของเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น
  • Dual process theory คือ ทฤษฎีการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล จะมีการผสานการคิดสองระบบเข้าด้วยกัน คือ แบบช้าและแบบเร็ว ขึ้นกับแต่ละสถานการณ์เพื่อให้เกิดการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
    • Intuitive เป็นการคิดอย่างรวดเร็ว ในรูปแบบของ pattern recognition จะใช้ความรู้ที่มี สัญชาติญาณ และประสบการณ์ ข้อดี คือ ทำได้อย่างรวดเร็วและใช้ความพยายามน้อย แต่ข้อเสีย คือ ขาดความระแวดระวัง อาจเกิดการด่วนสรุป นำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้
    • Analytic เป็นการคิดช้าๆ มีการพิจารณาทางเลือกต่างๆ ข้อดีข้อเสีย ความเป็นไปได้ของผลลัพธ์ในแต่ละทางเลือก และทำการประเมินผลก่อนเริ่มการตัดสินใจครั้งใหม่ ข้อดี คือ มีการคิดอย่างเป็นระบบ ใช้เหตุผลมาก ใช้อารมณ์น้อย แต่ข้อเสีย คือ ช้า และต้องใช้ความพยายามมาก


การทำงานเป็นทีม (Teamwork)
  • หัวหน้าทีม
    • คนในทีมที่มีความสามารถเพียงพอให้เสนอตัวเป็นผู้นำ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในการทำงาน
    • ทำการกำหนดบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในทีม
    • สื่อสารให้สมาชิกรับรู้สถานการณ์และมีความเข้าใจตรงกัน
    • มีการกำหนดเป้าหมายและวางแผนการทำงาน
    • สังเกตการณ์ทำงานและปรับเปลี่ยนแผนได้ตามสถานการณ์ที่เผชิญ
    • สร้างบรรยากาศการทำงานเป็นทีม  รับฟังเหตุผล
  • สมาชิกทีม
    • รับผิดชอบหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่
    • ทราบข้อจำกัดของตนเอง ไม่รั้งรอที่จะขอความช่วยเหลือ
    • ช่วยกันสังเกตการณ์การทำงานของกันและกัน และช่วยเหลือกันเมื่อเกิดปัญหา
    • ช่วยกันแก้ปัญหา ช่วยกันวางแผน และสามารถท้วงติงกันได้อย่างสร้างสรรค์
  • มีการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ คือ การสื่อสารที่กระชับ ชัดเจน และถูกต้อง เหมาะสมกับเวลาและโอกาส มีการสั่งและรับการรักษาได้อย่างถูกต้อง เช่น การทวนคำสั่ง (Closed-loop communication), ISBAR
  • ให้เกียรติและให้กำลังใจซึ่งกันและกัน (Mutual respect) แก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์


การสื่อสาร (Communication)
  • เนื้อความของสาร ต้องมีความชัดเจน กระชับ และถูกต้อง (3C: Clear, Concise, Correct) รวมถึง การใช้อวัจนภาษา ได้แก่ สีหน้า แววตา การเคลื่อนไหว ท่าทาง ลักษณะของเสียง จะช่วยเพิ่มน้ำหนักของคำพูด รวมถึงแสดงความเป็นคนมีมารยาท แต่ต้องระวังไม่ทำให้เกิดการแปลความหมายผิดไปได้
  • Assertiveness คือ การสื่อสารที่ผู้สื่อสารไม่เพียงการถ่ายทอดข้อมูลเท่านั้น ยังสามารถถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของตนเองให้กับผู้อื่น และแสดงจุดยืนของตนเองบนเหตุผล โดยไม่ก้าวร้าว มักใช้ในสถานการณ์เพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้ที่มีอำนาจมากกว่า ได้แก่ การยืนยันสิ่งที่พูด การพูดซ้ำ การใช้ประโยคที่ขึ้นด้วย “I massage” การใช้น้ำเสียงแสดงความมั่นใจ ตัวอย่างเช่น ใน ER พยาบาลโทรแจ้งแพทย์เพราะอยากให้มาประเมินผู้ป่วยซ้ำ ดังนี้
    • สถานการณ์แรก พยาบาล หมอสมชายคะ ขณะนี้คนไข้ความดันโลหิต 90/60 มม.ปรอท ชีพจร 120 ครั้งต่อนาทีหมอ งั้นเพิ่ม rate IV เป็น 120 mL/h แล้ว admit ได้สรุปว่าเคสนี้แพทย์ไม่ได้มาดูผู้ป่วยซ้ำ
    • สถานการณ์ที่สอง พยาบาล หมอสมชายคะ ขณะนี้คนไข้ความดันโลหิต 90/60 มม.ปรอท ชีพจร 120 ครั้งต่อนาที หนูอยากให้อาจารย์ช่วยมาดูผู้ป่วย [I massage]” หมอ งั้นเพิ่ม rate IV เป็น 120 mL/h แล้ว admit ได้ พยาบาล หนูคิดว่าผู้ป่วยความดันตก อยู่ในภาวะช็อค ต้องมีการประเมินหาสาเหตุและ resuscitation ค่ะ หนูอยากให้หมอมาช่วยดูแลค่ะ” [ยืนยันสิ่งที่ต้องการ และอธิบายปัญหาให้ชัดเจน]
  • ทักษะการฟัง ระดับการตั้งใจฟังแบ่งออกเป็นหลายระดับ โดยส่วนมากผู้ที่คิดว่าเป็นผู้ฟังที่ดีมักจะอยู่ในระดับผู้ฟังเนื้อความ (technical listener) เท่านั้น คือ เข้าใจเนื้อหา แต่ไม่ได้วิเคราะห์ถึงความรู้สึก หรือสิ่งที่ผู้พูดต้องการ ซึ่งเป็นทักษะการฟังที่สูงขึ้น เรียกว่า ผู้ฟังอย่างตั้งใจ (active-listener) ซึ่งต้องมีทักษะย่อย ดังนี้
    • การตั้งใจฟัง (attending skill) ได้แก่ มีการสบสายตา (eye contact) ไม่นั่งเขย่าขา ควงปากกา เอามือเคาะโต๊ะ เป็นต้น
    • การติดตามการฟัง (following skill) ช่วยให้ผู้พูดพูดต่อด้วยความสบายใจ เช่น การพูดอืม” “จริงเหรอ  เล่าต่อซิ” “แล้วยังไงต่อร่วมกับการถามแต่พอดี ในบางครั้งต้องมีทักษะการเงียบ (attentive silence) เพื่อแสดงว่าเราตั้งใจฟัง และคิดตามสิ่งที่พูด
    • การสะท้อนความรู้สึก (reflecting skill) โดยการจับความรู้สึกของผู้พูด หรือการจับประเด็นสำคัญแล้วสะท้อนออกมาเป็นคำพูดของเราเอง
  • เครื่องมือที่ช่วยให้ในการสื่อสารมีประสิทธิภาพ เช่น pre-task brief (สรุปกิจกรรมก่อนลงมือปฏิบัติ), debrief (การทบทวนกิจกรรมหลังลงมือปฏิบัติ), ISBAR, patient hand-overs, closed loop communication เป็นต้น
    • ISBAR (Introduction, Situation, Background, Recommendation) ตัวอย่างสถานการณ์ในห้องคลอด หมอค่ะ พี่พิสมัยจากห้องคลอดนะคะ รายงานเคสคุณสำลี (I) ตอนนี้มีภาวะตกเลือดหลังคลอด 2000 ซีซี (S) ผู้ป่วย G4P3 term คลอดปกติ บุตรหนัก 4,000 กรัม (B) ตอนนี้ผู้ป่วยมีอาการหน้ามืดใจสั่น ความดันโลหิต 90/60 มม.ปรอท ชีพจร 110 ครั้งต่อนาที หายใจ 20 ครั้งต่อนาที O2 sat 98% คลำหน้าท้องมดลูกไม่แข็งตัว (A) พี่อยากให้หมอมาดูผู้ป่วยตอนนี้เลยค่ะ (R)”
    • Patient hand-overs หรือ การส่งเวร ควรส่งแบบ face-to-face communication เวลาเดียวกันในแต่ละครั้ง สถานที่ใกล้ที่ทำงานมากที่สุด มีเสียงรบกวนน้อย ใช้รูปแบบการส่งที่มีแบบแผน เช่น SBAR ส่งต่อผ่านการสนทนาที่มีการจดบันทึก อาจให้ผู้รับเวรอ่านบันทึกการส่งข้อมูลให้อีกฝ่ายฟัง และซักถามข้อสงสัย (read it back)
    • Closed loop communication คือ ผู้ส่งสารส่งสารออกมา (call out) ผู้รับสารแสดงการรับรู้สารนั้น (check back) และผู้ส่งสารยืนยันการรับรู้ของผู้รับสาร (closed loop) เช่น แพทย์ [call out] “สมศรี ให้ adrenaline 1 mg IV แล้วตามด้วย NSS 20 mL IV push” พยาบาล [check back]  รับทราบค่ะ จะให้ adrenaline 1 mg IV แล้วตามด้วย NSS 20 mL IV push” แพทย์ [closed loop] “ถูกต้องครับ


ภาวะผู้นำ (Leadership)
  • มีหลายทฤษฎีที่กล่าวถึงภาวะผู้นำ ซึ่งในการทำงานให้ได้ผลดีอาจต้องประสานหลายๆแนวคิดเข้าด้วยกัน เช่น
    • ทฤษฎีคุณลักษณะ (Trait theory) กล่าวว่าผู้นำต้องมีคุณลักษณะทั้งทางกายภาพ และสภาวะจิตใจที่เหมาะสม เช่น มีความรู้ มีประสบการณ์ มีความมั่นใจ คุมสติได้เวลาเครียด บริหารจัดการเก่ง การสื่อสารดี
    • ทฤษฎีพฤติกรรม (Behavioral theory) กล่าวถึงสไตล์ของผู้นำสองประเภท คือ แบบมุ่งให้งานสำเร็จ (task-oriented) และแบบมุ่งเน้นบุคลากรร่วมทีม (people-oriented) จะมีการสังเกต รับฟัง กระตุ้น สร้างแรงบันดาลใจ และสอนงานแก่สมาชิกในทีม
    • ทฤษฎีสถานการณ์ (Situational theories) คือ ผู้นำต้องมีการปรับตัวตามสถานการณ์ บางครั้งต้องเด็ดขาดฉับไว บางครั้งต้องรับฟังอย่างรอบคอบโดยพิจารณาจากความรู้ความสามารถและความมุ่งมั่นของสมาชิก เช่น ถ้าสถานการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วนหรือสมาชิกที่ยังมีความสามารถน้อยก็ใช้การสั่งแบบบอกให้ทำ (telling) ถ้าสถานการณ์คงที่ แต่สมาชิกขาดความตั้งใจหรือความมุ่งมั่น อาจใช้วิธีเสนอความคิด (selling) คือ บอกเป้าหมาย แล้วกระตุ้นให้หาวิธีปฏิบัติเอง เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วม หรือให้มีส่วนร่วมตัดสินใจ (participating) แต่ถ้าสมาชิกมีทั้งความรู้ดี และมีความมุ่งมั่นทุ่มเทก็มอบหมายงาน (delegating) คือ ผู้นำเพียงระบุปัญหา แล้วให้สมาชิกตัดสินใจและวางแผนเอง
    • ทฤษฎีมีส่วนร่วม (shard leadership theory) คือ การกระจายภาวะผู้นำสู่สมาชิกทุกคน โดยการสร้างบรรยากาศให้ทุกคนกล้าที่จะทำ assertiveness แลกเปลี่ยนความคิดเห็น กำกับดูแลเพื่อนร่วมทีม กล้าที่จะทักท้วงเมื่อการปฏิบัติเบี่ยงเบนไปจากมาตรฐาน


การจัดการความเครียดและความเหนื่อยล้า (Stress and fatigue management)
ความเครียด (stress)
  • เป็นผลจากปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา กับสิ่งที่ก่อให้เกิดความเครียด (stressor) ซึ่งสิ่งที่ก่อให้เกิดความเครียดนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกถูกคุกคาม (threaten) ซึ่งเราจะรู้สึกถูกคุกคามก็ต่อเมื่อเรื่องนั้นเกินขีดความสามารถหรือทรัพยากรที่มีอยู่
  • ความเครียดในระดับที่เหมาะสม (eustress) จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงาน แต่ความเครียดที่มากขึ้นจะส่งผลให้ทำงานผิดพลาดมากขึ้น บุคลิกภาพและอารมณ์เปลี่ยนไป ขาดสมาธิ ความสามารถในการจัดการลดลง การจัดลำดับความสำคัญผิด การขาดความละเอียดรอบคอบ การละเว้นหรือการบกพร่อง เป็นต้น
  • ผลกระทบของความเครียดต่อร่างกาย เช่น ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้น หายใจถี่ เหนื่อยหอบ ปวดท้อง เป็นต้น และผลกระทบต่อจิตใจ เช่น ความโกรธ ฉุนเฉียว อารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า มองโลกในแง่ร้าย ขาดความสนใจ เป็นต้น นอกจากนี้ความเครียดยังสัมพันธ์กับภาวะหมดไฟในการทำงาน (burnout) อีกด้วย
  • การจัดการกับความเครียด แบ่งเป็น
    • Primary prevention โดยการกำจัดสาเหตุของความเครียด เช่น การเพิ่มความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ การจัดหาทรัพยากรให้เพียงพอ
    • Secondary prevention โดยฝึกรู้จักกับอารมณ์ของตนเอง อาจบอกให้เพื่อนร่วมงานทราบถึงความกังวลหรือความเครียดที่เกิดขึ้น จัดการกับความคิดตนเอง ปรับกรอบความคิด มองโลกในแง่ดี ยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
    • Tertiary prevention ทำการฟื้นฟูสภาพจิตใจหลังเกิดเหตุการณ์ ให้คำปรึกษา
การเหนื่อยล้า (fatigue): ศึกษาเพิ่มเติมจากบทความ physician well-being
  • มักเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ และการทำงานเป็นกะ ซึ่งส่งผลรบกวนการคิด การเคลื่อนไหวของร่างกาย ประสิทธิภาพการทำงาน และทำให้อารมณ์แปรปรวน เป็นต้น




การสอนทักษะ (Teaching Non-technical skills)
เป้าหมายของการสอนก็เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของพฤติกรรมนั้น ซึ่งก็คือ ทัศนคติ โดยผู้สอนต้องทำให้ผู้เรียนได้เกิดความคิด ไตร่ตรอง จนกระทั่งตระหนักถึงปัญหาได้ด้วยตนเอง
การสอนมี 3 ระยะ คือ
  1. การประเมินสถานการณ์ พิจารณาเรื่องที่จะสอน โดยอาจดูจาก รายงานอุบัติการณ์ การสอบถาม หรือ การสังเกตในสถานการณ์จริง
  2. การจัดการสอน
    • วิธีการสอนมีหลายรูปแบบ ได้แก่ การถ่ายทอดข้อมูลให้โดยตรง (information-based) การสอนผ่านกรณีศึกษา อาจแสดงบทบาทสมมติ แล้วทำการวิเคราะห์ วิจารณ์ (demonstration-based) และการสอนโดยให้ลงมือกระทำ (practice-based) เช่น การทำกิจกรรมกลุ่ม การทำสถานการณ์จำลองเสมือนจริง
    • ทักษะของผู้สอน ได้แก่ การตั้งคำถาม การฟังอย่างตั้งใจ ไม่ด่วนตัดสิน และการบริหารจัดการห้องเรียน เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วม และเป็นไปตามวัตถุประสงค์
    • การตั้งคำถามของผู้สอน แนะนำให้ใช้เทคนิค facilitation คือ การให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยผู้สอนกระตุ้นให้คิด สามารถแบ่งลำดับของความซับซ้อนของคำถาม คือ 1) การถามเพื่อทดสอบความรู้ ความจำ (remember), 2) เพื่อตรวจสอบความเข้าใจ (understand), 3) ให้ตีความหมายและประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ (apply), 4) วิเคราะห์ปัญหา (analyses), 5) วิพากษ์กรณีศึกษา (evaluate), 6) การออกแบบใหม่ (create) เช่น การคิดว่าจะพูดประโยคสื่อสารกับทีมใหม่อย่างไร
  3. การประเมินผล แบ่งออกเป็น 4 ระดับ คือ
    • ประเมินการตอบสนอง (reaction) ควรทำทันที เช่น ดูความพึงพอใจ การเห็นคุณค่า
    • การเรียนรู้ (learning) เช่น การทำ pre-/post-test สามารถวัดความรู้และทัศนคติได้
    • การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (behavior) คือ การได้นำไปใช้จริง ทำการติดตามหลังการสอนไประยะหนึ่ง
    • ผลลัพธ์ (result) ดูว่าการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นหรือไม่
ระบบสนับสนุนการเรียนการสอน ต้องได้รับการสนับสนุนจากองค์กร และผู้บริหาร เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกับของบุคลากรหลายสาขา (inter-professional education) เป็นจริงขึ้นมาได้

การทบทวนความรู้ โดยทั่วไปยังไม่มีการกำหนดไว้ชัดเจน แต่ในวงการบินจะอบรมทบทวนทุก 1 ปี

Ref: กษณา รักษมณี. Non-technical skills 2561

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น