วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Physician well-being

Stress ในการทำงานในห้องฉุกเฉินต้องพบกับความเครียดหลายอย่างทั้งจาก ลักษณะงานที่ทำเช่น การทำงานที่มากเกินไป นานเกินไป การไม่ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร ความปลอดภัยในการทำงาน ปัญหาผู้ป่วยเสียชีวิต (การไปมีอารมณ์ร่วมมากเกินไป) การให้คำแนะนำ/ปรึกษาแก่ญาติผู้เสียชีวิต ปัญหาการฟ้องร้อง ปัญหาการอดนอน (+ อายุที่มากขึ้น) และปัญหาการดำเนินชีวิตในสังคม/การแบ่งเวลาให้กับครอบครัวเนื่องจากทำงานเป็นกะ

Burn out เป็นภาวะที่มีความรู้สึกอ่อนล้าทั้งทางร่างกาย จิตใจ และ อารมณ์คล้ายกับ stress ที่มีภาวะซึมเศร้าและมีการแยกตัวเองออกจากสังคม (denial) มีอาการเช่น

  •    แยกตัวเองออกจากครอบครัว
  •    ทำตัวประชด ต่อต้านสังคม เรียกร้องความสนใจต่อ คู่ครอง ครอบครัว พยาบาลและผู้ร่วมงาน
  •    แสดงความไม่พอใจ ประชดประชัน ว่ากล่าวผู้อื่นเป็นประจำ (ต่อหน้าหรือลับหลัง) หรือโกรธแบบไม่มีเหตุผล
  •    มีพฤติกรรมในการรักษาผู้ป่วยแปลกไปจากเดิม เช่นกลัวในการพบผู้ป่วย บรรยายอาการของผู้ป่วยมากผิดปกติ ต้องการ consultation บ่อยผิดปกติ (fear of incompetence) การ shareปัญหาส่วนตัวกับผู้ป่วย หรือได้รับการร้องเรียนจากผู้ป่วยมากกว่าปกติ
  •    การเขียน chart ผู้ป่วยแปลกๆ เช่นเขียนสั้นมาก กำกวม การเขียนแสดงความคิดเห็นที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ฉลาด
  •    ป่วยบ่อย ขาดงาน มาสาย กลับก่อนเวลา เปลี่ยนงานบ่อย หรือทำงานนอกเวลาทำงานของตนเองแบบไม่มีเหตุผล
  •    ใช้เวลาสนใจ "toys" บางอย่างมากผิดปกติ เช่น computers, boats, planes

Principle of promote physician well-being: ขึ้นอยู่กับทัศนคติให้ไม่เครียดกับงานมากเกินไป เข้าใจตนเองว่าอาชีพหมอเป็นแค่บทบาทหนึ่งของตนเองเท่านั้น (ทุกคนเป็นมนุษย์คนหนึ่งมีอิสรภาพในการเลือกวิถีชีวิตของตนเอง เลือกสิ่งแวดล้อมในการทำงาน) ตั้งเป้าหมายให้กับชีวิต (ทางกาย ใจ การเงิน สังคม จิตวิญญาณ) แบ่งเวลาให้กับสิ่งที่มีความสำคัญกับเราเช่น ครอบครัว ศาสนา ชุมชน หรือกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง หาแรงจูงใจในการทำงานเช่น การได้ช่วยคนอื่น การรักษา case ยากๆ การมี supporting system ไม่อยู่ตัวคนเดียว มีเพื่อน มีระบบคอยสนับสนุน สามารถหาเวลาให้กับตนเองได้พักเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น หรือปรึกษา psychotherapist และไม่ลืมดูแลตนเองทั้งการกิน การนอน ออกกำลังกาย หรืออะไรก็ตามที่ทำแล้วรู้สึกผ่อนคลายเช่นการทำสมาธิ โยคะเป็นต้น

Strategies of the shift work

  •    ทำงานเวลาเดิม เพื่อรักษาแบบแผนการนอน หรือถ้าทำไม่ได้ การได้นอนหลับเวลาเดิม (anchor sleep) อย่างน้อย 4 ชั่วโมงทุกวัน หรือการงีบหลับจะช่วยได้
  •    ถ้าต้องเปลี่ยนเวลาทำงานให้เปลี่ยนตามเข็มนาฬิกา (clockwise direction)
  •    หรือถ้าต้องอยู่เวรกลางคืน 1-2 คืน ก็จะไม่รบกวน circadian rhythm มากนัก
  •    การดำเนินชีวิตที่เหมาะสม ได้แก่ การนอนในที่เงียบ มืด ปราศจากสิ่งรบกวน การกินอาหาร high-protein ตอนตื่น และกิน complex carbohydrates ก่อนนอน หลีกเลี่ยง caffeine อาหาร high-calorie, high-fat snack food ก่อนนอน และต้องกินอาหารเป็นเวลา ไฟสว่าง (> 10,000 lux) อย่างน้อย 2 ชั่วโมงหลังตื่น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และ aerobic exercise หลังตื่นช่วยให้ปรับตัวกับการเปลี่ยนเวลาทำงานได้ดีขึ้น หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักก่อนนอน
  •    ตกลงจัดสรรเวลากับครอบครัวและเพื่อน อย่าพยายามใช้ชีวิตตอนกลางวันแบบเดิมถ้าต้องทำงานตอนกลางคืน งดประชุมตอนเช้าหรือช่วงเย็นถ้าต้องทำงานกลางคืน และเคารพเวลาของผู้อื่นที่ทำงานตอนกลางคืนเช่นกัน

Ref: Tintinalli's Emergency Medicine ED.6th chapter 296 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น