หมายความรวมถึงหน่วยงาน หรือทรัพยากรทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพของประชาชน
ถูกจัดแบ่งโครงข่ายงานออกเป็น 6 กลุ่มได้แก่ leadership, human resources, drugs and medical
supplies, health financing, health information management and service delivery.
Health service
delivery
จุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างเท่าเทียม
มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและมีคุณภาพได้มาตรฐาน มีสิ่งที่ต้องเตรียมการดังนี้
1. มีระบบให้บริการด้านสุขภาพอย่างเพียงพอ แบ่งเป็นระดับต่างๆดังนี้
- หน่วยบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน
(Basic health unit) 1 หน่วยต่อประชากร
10,000 คน
- สถานีอนามัย (Health
center) 1 หน่วยต่อประชากร 50,000 คน
- โรงพยาบาลชุมชน (District
hospital) 1 รพ.ต่อประชากร
250,000 คน
- เตียงผู้ป่วยในและเตียงคลอด
>10 เตียงต่อประชากร 10,000 คน
***จำนวนและที่ตั้งขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละที่
2. มีกระบวนการส่งต่อผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพ ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง
3. มีระบบคัดแยกผู้ป่วยตามความหนักเบาที่ได้มาตรฐาน
4. แนวทางการรักษาที่เป็นมาตรฐานแห่งชาติ (สำหรับโรคที่พบบ่อย) แต่ถ้าแนวทางนั้นล้าสมัย
ไม่เป็นไปตามหลักฐานทางการแพทย์
ก็ควรจะใช้แนวทางการรักษาที่เป็นมาตรฐานในระดับนานาชาติแทน
5. ให้การศึกษาและส่งเสริมสุขภาพในชุมชน
โดยประสานกับหน่วยงานด้านสุขภาพในท้องถิ่น ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและจะต้องมีความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรม
สามารถใช้เด็กๆในโรงเรียนในการกระจายข้อมูลสู่ผู้ปกครอง
6. อัตราการใช้ประโยชน์ (Utilization rate) จากบริการสุขภาพ: ไม่มีเกณฑ์ขั้นต่ำ แต่ในชนบทภาวะปกติจะอยู่ประมาณขั้นต่ำที่ >
1 การให้คำปรึกษาใหม่/คน/ปี ในภาวะภัยพิบัติโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 2-4 การให้คำปรึกษาใหม่/คน/ปี ถ้าอัตราการต่ำกว่าที่คาดไว้อาจเกิดจากช่องทางการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพไม่เพียงพอ
ถ้าอัตราสูงกว่าที่คาดอาจเกิดจากการประสบปัญหาด้านสุขภาพหรือประมาณจำนวนประชากรต่ำกว่าความเป็นจริง
7. การให้เลือดอย่างปลอดภัย: ประสานงานกับสภากาชาด
รับบริจาคเลือดจากความสมัครใจ (ไม่มีค่าตอบแทน) คัดกรองการติดเชื้อ ทดสอบเลือด ผลิตส่วนประกอบของเลือด จัดเก็บและขนส่ง
ลดการให้เลือดที่ไม่จำเป็น โดยใช้ความรู้ทางคลินิก
8. ห้องปฏิบัติการ: มีความพร้อม สามารถให้การวินิจฉัยโรคติดต่อทางคลินิกด้วยวิธี
rapid test หรือ microscopy (เช่น มาลาเรีย)
สามารถยืนยันเชื้อที่เป็นสาเหตุของการระบาด เพาะเชื้อ ทดสอบความไวต่อยาปฏิชีวนะ
หรือเพื่อตัดสินใจในการให้วัคซีนกับคนในชุมชน (เช่น meningococcemia) สำหรับโรคไม่ติดต่อ เช่น DM ก็ต้องใช้ห้องปฏิบัติการในการวินิจฉัยและรักษา
9. คลินิกเคลื่อนที่:
ภาพจาก about.kaiserpermanente.org |
ในช่วงภัยพิบัติอาจมีความจำเป็นต้องใช้คลินิกเคลื่อนที่ (ภายใต้การดูแลประสานงานของกระทรวงสาธารณสุขในส่วนภูมิภาค) เพราะประชาชนไม่สามารถเดินทางมารักษาพยาบาลได้
หรือมีการระบาดของโรค ซึ่งต้องมีคนรับการรักษาจำนวนมาก
ภาพจาก army-technology.com |
จัดตั้งขึ้นในกรณีที่โรงพยาบาลที่มีอยู่เสียหายอย่างหนัก ไม่สามารถใช้งานได้
จะตั้งขึ้นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
และส่งมอบภาระงานให้แก่โรงพยาบาลพื้นที่เมื่อเข้าสู่ภาวะปกติ ดูแลการเจ็บป่วยทั้งในด้านอายุรกรรม
อุบัติเหตุ ศัลยกรรม สูติกรรม จิตเวช
11. ดูแลเรื่องสิทธิผู้ป่วย: ความเป็นส่วนตัว การรักษาความลับ การยินยอม (informed consent) ก่อนทำหัตถการ บอกถึงประโยชน์ ความเสี่ยง ระยะเวลาและค่าใช้จ่าย
12. ควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล (Infection control) และความปลอดภัยของคนไข้ (Patient safety): มีการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องระหว่างเกิดภัยพิบัติ
- มีกำหนดนโยบายมาตรการณ์ในการป้องกันการติดเชื้อ
บุคลากรในการควบคุมการติดเชื้อ ขอบเขตงานและความรับผิดชอบ
- ระบบเฝ้าระวังโรคติดต่อระบาด
- กำหนดงบประมาณ (เช่นการฝึกอบรมพนักงาน)
และอุปกรณ์ในการตอบสนองถ้าเกิดเหตุฉุกเฉิน
- Standard precaution และ specific
precaution สำหรับโรคระบาด
- การควบคุมโดยนโยบายบริหาร (เช่น
isolation policies) และ การควบคุมทางสิ่งแวดล้อม
และการควบคุมทางวิศวกรรม (เช่นการระบายอากาศ)
- อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล
(Personal protective equipment)
- มีการตรวจสอบและทบทวนอย่างสม่ำเสมอ
13.
มีวิธีการจัดการขยะที่เหมาะสม: มีการแยกขยะที่ไม่คมติดเชื้อและขยะทั่วไป
เจ้าหน้าที่ได้รับการอบรมวิธีจัดการอย่างถูกต้องและสวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน (ถุงมือและรองเท้าบู๊ต)
เพื่อลดโอกาสติดเชื้อตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงขั้นตอนการกำจัดขั้นสุดท้ายตามประเภทของขยะ
14.
การจัดการศพ: เมื่อภัยพิบัติอาจจะมีคนเสียชีวิตจำนวนมาก
มีความเชื่อผิดๆเรื่องการติดเชื้อทำให้เกิดการเร่งรีบฝังหรือเผาศพรวมกัน (ยกเว้นบางกรณีเช่น ตายจาก cholera หรือ hemorrhagic
fever) ศพควรจะได้มีโอกาสในการระบุตัวตน และจัดงานศพที่เหมาะสมกับวัฒนธรรม
การที่ฝังศพรวมกันจะทำให้มีปัญหาต่อการออกใบรับรองการตายและมีผลต่อการเรียกร้องทางกฎหมาย
Human resource
จุดประสงค์เพื่อให้การบริการสุขภาพโดยบุคลากรที่ผ่านการฝึกอบรม
มีความรู้และทักษะสอดคล้องกับความต้องการด้านสุขภาพของประชากร
1. บุคลากรด้านสุขภาพ มีตั้งแต่แพทย์
พยาบาล ผดุงครรภ์ ผู้ช่วยแพทย์ เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เภสัชกร เจ้าหน้าที่อนามัย
รวมถึงฝ่ายที่ให้ความช่วยเหลืออื่นๆ ไม่มีเกณฑ์ตายตัวว่าต้องมีบุคลากรระดับใด
เท่าใด เพียงแต่ต้องสัมพันธ์กับความต้องการของประชากร เช่น เมื่อมีชนกลุ่มน้อย 1 คนมาใช้บริการ
ก็อาจคาดได้ว่าจะมีคนกลุ่มน้อยอีกปริมาณมากเดินทางมาใช้บริการตามมา
เพราะฉะนั้นต้องคอยจัดการให้สมดุลโดยการสับเปลี่ยน สรรหาบุคคลากรในทุกระดับให้สัมพันธ์กับความต้องการด้านสุขภาพ
โดยพิจารณาทั้งทักษะ ความสามารถ เพศ เชื้อชาติ
สนับสนุนและบูรณาการบุคลากรด้านสุขภาพในท้องถิ่นให้เข้ามาร่วมทำงานได้อย่างเต็มที่
ตามความสามารถ
เกณฑ์ขั้นต่ำของจำนวนบุคคลากรที่ควรจะเป็นได้แก่
- บุคคลากรด้านสุขภาพอย่างน้อย 22 คน/ประชากร 10,000 คน
- แพทย์อย่างน้อย 1 คน/ประชากร 50,000 คน
- พยาบาลอย่างน้อย 1 คน/ประชากร 10,000 คน
- ผดุงครรภ์อย่างน้อย1
คน/ประชากร 10,000 คน หนึ่ง
- เจ้าหน้าที่อนามัยอย่างน้อย1
คน/ประชากร 1,000 คน
- ต้องเพิ่มแพทย์ (clinician) ถ้าแพทย์ต้องให้คำปรึกษาผู้ป่วย > 50 คน/วันอย่างต่อเนื่อง
2 การฝึกอบรมและการกำกับดูแล (supervision) บุคลากรด้านสุขภาพ:
ควรจะมีการฝึกอบรม การกำกับดูแลตามระดับความรับผิดชอบโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้บุคลากรมีความรู้ที่ทันสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรที่ไม่ได้เข้ารับการศึกษาต่อเนื่องหรือที่ที่ไม่มีโปรโตคอลทางคลินิกให้ใช้
ซึ่งการฝึกอบรมควรได้มาตรฐานและเพื่อปิดช่องว่างที่พบระหว่างการให้การกำกับดูแล
ข้อมูลบันทึกประวัติการฝึกอบรม
โดยใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ จะได้รับการแลกเปลี่ยนกับหน่วยงานสาธารณสุขในท้องถิ่น
ให้บุคคลากรได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและให้มีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย รวมทั้งสุขอนามัยขั้นพื้นฐาน
Drugs and medical supplies
จุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงยาที่จำเป็นได้และวัสดุสิ้นเปลือง
1 รายการยาจำเป็น: ส่วนใหญ่แต่ละประเทศจะมีรายการยาที่จำเป็นอยู่แล้ว
ทำการทบทวนรายการยาที่จำเป็นนี้ร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุขเมื่อมีภัยพิบัติเกิดขึ้น
บางครั้งอาจจะต้องมีการปรับรายการยาบางอย่างเช่น antibiotic ถ้ามีหลักฐานว่าเชื้อดื้อยา
ถ้าไม่มีรายการยานี้ให้ใช้ขององค์กรอนามัยโลก (WHO Model Lists of Essential Medicines: adult 17th
edition, children 3rd edition 2011)
2. รายการอุปกรณ์การแพทย์:
เหมาะสมกับหน่วยบริการในระดับต่างๆและระดับของบุคคลากรด้านสุขภาพที่ใช้งาน
3. ระบบการบริหารจัดการยาที่มีประสิทธิภาพ:
อยู่บนพื้นฐาน 4 ประการได้แก่ การเลือกยา จัดหายา
กระจายยาและใช้ยา โดยสามารถใช้อย่างคุ้มค่า สมเหตุสมผล มีการเก็บรักษายา
การจัดการยาหมดอายุ
- โดยเฉพาะรายการยาสำหรับโรคที่พบบ่อยต้องมียาอยู่เสมอ
- การรับบริจาคยาได้
ก็ต่อเมื่อปฏิบัติแนวทางที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลเท่านั้น
4. ระบบติดตาม (Tracer product) ย้อนรอยยาหลักๆเพื่อใช้ประเมินระบบบริหารจัดการยา
ระบุจุดอ่อน สะท้อนปัญหา
ซึ่งยาที่ควรเลือกในการติดตามควรจะเป็นยาที่มีประจำในสถานพยาบาลเสมอเช่น amoxicillin,
paracetamol
ภาพจาก rawa.org |
Health financing
จุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้บริการสุขภาพฟรีระหว่างที่เกิดภัยพิบัติ
1 การจัดหาเงินทุนสุขภาพ:
ต้นทุนของการให้บริการด้านสุขภาพจะมีความแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ ผลกระทบจากภัยพิบัติ
คณะกรรมาธิการว่าด้วยเศรษฐกิจมหภาคขององค์การอนามัยโลกประเมินค่าใช้จ่ายขั้นต่ำที่จำเป็นสำหรับบริการสุขภาพไว้ที่
40 US $ /คน/ปี (2008) ในประเทศที่มีรายได้ต่ำ(ประเทศไทยจัดอยู่ในประเทศรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง)
แต่ในภาวะภัยพิบัติมีแนวโน้มที่จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าในภาวะปกติ
2 งดเว้นค่าใช้จ่าย:
การเก็บค่าใช้จ่ายกับคนไข้จะเป็นอุปสรรคต่อการเข้ารับการรักษาพยาบาล
ในสถานการณ์ที่ทำไม่ได้
ให้จัดหาเงินสดหรือเอกสารรับรองแก่ประชากรได้รับผลกระทบให้สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้
- สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วยคือต้องมีการสนับสนุนและชดเชยแก่หน่วยงานสุขภาพ
เช่น เงินจูงใจแก่บุคลากร จัดหายาและอุปกรณ์การแพทย์ให้
- ตรวจสอบคุณภาพของบริการหลังจากงดเว้นค่าใช้จ่าย
Health
information management
จุดประสงค์เพื่อให้มีข้อมูลด้านสุขภาพ
(รวบรวม วิเคราะห์ แปลผล) มาใช้ประโยชน์ในการให้บริการด้านสุขภาพ
1 ระบบข้อมูลสุขภาพ
(Health
information systems -HIS) ใช้หรือปรับเปลี่ยนระบบสารสนเทศสุขภาพที่มีอยู่
มีระบบเฝ้าระวังทำงานภายใต้ระบบข้อมูลสุขภาพเดิมที่มีอยู่แล้ว หรืออาจต้องเก็บรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นใหม่ถ้าไม่มีระบบที่รองรับอยู่เดิม
ช่วงภัยพิบัติข้อมูลที่จำเป็นได้แก่
- Dealth records
- Proportional mortality
- Cause-specific mortality
- Incidence rate ของ most common morbidity
- Proportional morbidity
- Health facility utilization rate
- Number of consultations/clinician/day
ใช้คำจำกัดความที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน สำหรับโรคที่ต้องรายงาน
ออกแบบระบบค้นหาและเตือนภัยล่วงหน้า (Early warning
systems -EWARN) เพื่อค้นหาการระบาดของโรคต่างๆ รายงานผ่านระบบ HIS
หน่วยงานสุขภาพและหน่วยงานเฝ้าระวังโรคจะรายงานข้อมูลต่างๆอย่างสม่ำเสมอ
โดยรายงายภายใน 48 ชั่วโมงของการสิ้นสุดระยะเวลารายงานประจำ ซึ่งความถี่ในการรายงานจะแตกต่างกันประเภทของข้อมูลนั้นๆ
เช่น รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน
หน่วยงานสุขภาพทั้งหมดต้องรายงานกรณีของโรคระบาดภายใน
24 ชั่วโมง
หน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำ
(Lead agency) จะรายงานข้อมูลสุขภาพ วิเคราะห์และแปลผลข้อมูลทางระบาดวิทยา
และรายงานผลส่วนที่จะใช้ประโยชน์ในจากบริการด้านสุขภาพ
2 การใช้ข้อมูล:
การแปลข้อมูลเพื่อใช้งานต้องคำนึงถึงแหล่งที่มาของข้อมูลและข้อจำกัดของข้อมูล เช่นเพื่อหาความชุกของโรค
เพื่อดูพฤติกรรมการมาใช้บริการสุขภาพ แหล่งที่มาของข้อมูลอื่น ๆ ที่อาจนำมาใช้เช่น
population-bases
survey รายงานจากห้องปฏิบัติการ การวัดคุณภาพการบริการ ซึ่งการสำรวจและการประเมินจะต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ในระดับสากลและการใช้เครื่องมือที่มีมาตรฐาน
3. การแจกแจงรายละเอียดของข้อมูล: ข้อมูลควรจะมีการแจกแจงตามเพศ
อายุ กลุ่มคนเปราะบาง (Vulnerability – ด้อยสิทธิ
ความสามารถทางกาย/จิตใจ)
กลุ่มประชากรที่ได้รับผลกระทบ ประชากรเจ้าบ้าน ค่ายพักอาศัย
โดยการแจกแจงข้อมูลนั้นเพื่อใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจ
ซึ่งการแจกแจงในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินอาจเป็นเรื่องยาก อย่างน้อยที่สุดควรจะมีการแจกแจงข้อมูลการทุพลภาพ
และการตายของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวยมากขึ้นก็ควรเพิ่มรายละเอียดให้มากขึ้นเพื่อตรวจสอบความไม่เท่าเทียมกันที่อาจเกิดขึ้นได้
4 การรักษาความลับของผู้ป่วย
(Confidentiality)
ต้องไม่เปิดเผยข้อมูลของผู้ป่วยกับคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยโดยตรงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ป่วยก่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการโดนทำร้าย การละเมิดสิทธิมนุษยชน
การละเมิดทางเพศ
Leadership and
coordination
จุดประสงค์เพื่อให้บริการสุขภาพที่มีการประสานงานระหว่างหน่วยงาน
ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
1. ตัวแทนจากกระทรวงสาธารณสุขมีหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นหัวหน้าประสานงานระหว่างหน่วยงานด้านสุขภาพต่างๆ
แต่ในบางสถานการณ์ถ้ากระทรวงสาธารณสุขไม่สามารถทำบทบาทหน้าที่นี้ได้
องค์การอนามัยโลก (WHO) จะเข้ามาทำหน้าที่นี้แทน
โดยร่วมมือกับหน่วยงานสุขภาพในท้องถิ่นและสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานสุขภาพในท้องถิ่น
2. จัดทำแผนด้านสุขภาพสำหรับการตอบสนองภาวะฉุกเฉิน
โดยทำปรึกษาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตัวแทนชุมชน
3. มีการประชุมประสานงาน
(Coordination meeting) ระหว่างหน่วยงานในระดับต่างๆ เป็นเวทีในการที่จะแบ่งข้อมูลร่วมกัน
จัดลำดับความสำคัญ พัฒนาและปรับกลยุทธ์สุขภาพต่างๆ แบ่งภารกิจ
ชี้แจงความรับผิดชอบและความสามารถของแต่ละหน่วยงานให้ครอบคลุม ตกลงกันในแนวทางมาตรฐาน
ซึ่งในช่วงต้นของภัยพิบัติควรมีการประชุมถี่กว่าปกติ
จัดตั้งคณะทำงานภายใต้กลไกการประสานงานสุขภาพ
เพื่อเตรียมไว้ใช้เมื่อเกิดสถานการณ์เฉพาะเช่น การเตรียมความพร้อมและการตอบสนองต่อโรคระบาด
เป็นต้น
Ref: Sphere Handbook 2011
Ref: Sphere Handbook 2011
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น