Hemodynamic monitoring
**ดูเรื่อง approach to shock เพิ่มเติม
สิ่งที่เป็นเป้าหมายสุดท้ายก็คือ
ให้ปลายทางหรือ tissue
oxygenation ดี ซึ่งเราก็ต้องเฝ้าติดตามตั้งแต่ภาพใหญ่
ตามลงไปจากต้นทางจนถึงส่วนย่อย ได้แก่
**arterial
oxygen content หรือ CaO2 = (1.39 x Hb x SaO2)
+ (PaO2 x 0.0031)
|
Blood pressure
- เลือกขนาด bladder cuff ที่เหมาะสม โดยความยาว bladder = 0.8 x เส้นรอบวงแขน และความกว้าง bladder = 0.4 x เส้นรอบวงแขน (เอาด้านกว้างพันรอบแขนควรที่จะได้เกือบครึ่งรอบขึ้นไป)
- MAP เป็นค่าที่น่าเชื่อถือมากที่สุดในการวัดด้วย oscillometric method (เครื่องวัดจุดที่มี maximum oscillation เป็นค่า MAP หรือจะคำนวณเองจากสูตร MAP = DBP + PP/3) โดยทั่วไปจะ keep MAP > 65 mmHg ยกเว้นใน uncontrolled hemorrhage keep MAP 40 mmHg และใน traumatic brain injury keep MAP 90 mmHg
- A-line: แนะนำให้ทำในรายที่มี refractory shock ที่ได้รับ vasopressor สามารถใส่ได้ทั้ง radial artery และ femoral artery ซึ่งมีประโยชน์คือ
- ใช้ปรับ vasopressor ให้ได้ MAP ที่ต้องการ
- Monitor BP ในรายที่อาการไม่คงที่
- สามารถตรวจ arterial blood ได้ง่าย
- ดู PP variation และ CO จาก pulse contour analysis
- ใช้แยกระหว่าง cardiac tamponade (PP ลด, DBP คงที่) และ respiratory-induced swings in SBP (PP คงที่, SBP และ DBP ลดตามการหายใจ)
- ใช้แยกระหว่าง hypovolemia (ให้ PPV แล้ว SBP ลด) และ cardiac dysfunction (ให้ PPV แล้ว SBP เพิ่ม)
Heart rate & rhythm
- ค่าปกติในผู้ใหญ่คือ 45-95 ครั้ง/นาที การแปลผลให้ดูร่วมกับสัญญาณชีพอื่นๆในการพิจารณาว่าเป็น primary (bradyarrhythmia, tachyarrhythmia) หรือ secondary (physiologic, pathologic, pharmacologic)
- Physiologic bradycardia เช่น ในนักกีฬา, หลับ, vagal stimulation; tachycardia เช่น children, exertion, anxiety, emotions
- Pharmacologic ที่ทำให้เกิด bradycardia เช่น digoxin, opioid, β-blocker, CCB; ที่ทำให้เกิด tachycardia เช่น atropine, epinephrine, sympathomimetic, alcohol, nicotine, caffeine
- Pathologic ที่ทำให้เกิด bradycardia เช่น hypothermia, inferior wall MI, IICP, carotid sinus hypersensitivity, hypothyroidism; ที่ทำให้เกิด tachycardia เช่น fever, hypoxia, anaemia, hypovolemia, PE
- Heart rhythm ถ้าชีพจรไม่สม่ำเสมอทำให้สงสัย atrial fibrillation หรือ flutter ให้ยืนยันด้วยการฟัง apical heart sound ซึ่ง apical pulse มักจะมากกว่า peripheral pulse เกิดจาก filling time น้อย ทำให้ stroke volume ไม่เพียงพอในการเกิดชีพจร
CVP
- เป็นความต้องการวัด preload แต่ไม่สามารถวัด volume ได้โดยตรง ค่าปกติ 2-8 mmHg แต่เปลี่ยนแปลงได้จากหลายปัจจัย (blood volume, Rt heart compliance, tricuspid valve, dysrhythmia, intrathoracic pressure) จึงต้องวัด CVP ในช่วง end-expiration ไม่ว่าจะหายใจเองหรือใส่ ventilator (ถ้า CVP มี fluctuation มากระหว่าง inspiration และ expiration แสดงว่ายังตอบสนองต่อการให้ volume)
- ถ้า < 4 mmHg ใน critically ill ให้ NSS 250 mL IV > 15 min ถ้า CVP เพิ่ม > 5 mmHg แสดงว่า volume overload แต่ถ้า CVP เพิ่ม < 2 mmHg แสดงว่า hypovolemia
- การวัด CVP สามารถทำได้เริ่มตั้งแต่ การดู jugular venous pulsation ด้วยตาเปล่า (นั่ง 45o แล้ววัดระยะระหว่าง venous pulsation กับ sternal angle แล้วบวกเพิ่ม 5 cm) หรือการดูด้วย high-frequency linear transducer (7-9 MHz) (ดูจุดที่ vein เรียวเล็กลง แล้วบวกเพิ่ม 5 cm หรือจะดูขนาดเทียบกับ common carotid artery)
Cardiac output monitoring
- Passive leg raising โดยการยกขาสูง 30o เหนือหน้าอกค้างไว้ 1 นาที (= IV load 300 mL, BW 70 kg) ถ้า BP, HR, CVP, CO ดีขึ้นคงที่ 2-3 นาที แสดงว่าเป็นกลุ่ม volume-responsive
- Bedside US ดู IVC respiratory variation, LVEF (ดูเรื่อง basic echocardiography)
- Pulse pressure (PP) variation ((PP inspiration - PP expiration)/PP average) ใช้ในการทำนายว่าเป็นกลุ่ม volume-responsive หรือไม่ ในผู้ป่วยที่ on mechanical ventilation โดยแนะนำให้ IV fluid จน PP variation ลดลงจน < 10%
- Thoracic electrical bioimpedance & bioreactance สามารถวัด CO ใช้แยกระหว่าง cardiac และ non-cardiac cause ของ dyspnea แต่ข้อจำกัดคือจะวัดได้ไม่ถูกต้องถ้าผู้ป่วยขยับตัว
- Esophageal Doppler US & Transcutaneous Doppler US มีการใช้น้อยใน ER
- Pulmonary artery catheter ปัจจุบันไม่แนะนำให้ทำใน ER
Systemic oxygenation
- ScvO2: เมื่อ SaO2 ~ 100% ก็สามารถบอก O2ER ได้จาก SvO2 (O2ER = (SaO2- SvO2)/ SaO2 = 1- SvO2) มีความไวมากกว่า lactate (เปลี่ยนก่อน lactate 6 ชั่วโมง) โดยค่าปกติจะ > 70% เป็นการบอกความสัมพันธ์ระหว่าง O2 delivery (hypoxia, anemia, low CO) และ O2 consumption (hypermetabolism) แต่ค่าที่มากกว่าปกติก็อาจผิดปกติได้เช่น tissue ไม่สามารถใช้ O2 ได้ใน severe sepsis, cyanide poisoning หรือจาก low consumption เช่น hypothermia
**ScvO2 > SvO2 ประมาณ
7+/-4% แต่เปลี่ยนแปลงไปในทางเดียวกัน ให้ค่าปกติ =
70-89%
- Lactate บอกความสัมพันธ์ของ lactate production (shock, seizure, DKA, metformin, etc.) และ lactate elimination (hepatic dysfunction) โดยผิดปกติเมื่อ lactate level > 4 mmol/L และ lactate clearance สามารถพยากรณ์โรคได้ (เป้าหมายคือ clearance < 6 h ใน septic shock)
- Arterial Base deficit (ปกติ < 2 mmol/L) ใช้ในการบอกภาวะ impaired tissue oxygenation ได้ ใน acute surgical emergency โดยเฉพาะใน trauma แต่มีความจำเพาะน้อยกว่า lactate
- StO2 ปัจจุบันใช้ใน trauma injury ถ้า < 75% (thenar eminence) แสดงถึงภาวะ shock ก่อนที่ V/S อื่นๆจะเปลี่ยนแปลง; หรือใช้ร่วมกับการทำ vascular occlusion test (3 นาที)
Respiration monitoring
ได้แก่การดูอัตราเร็วในการหายใจ
รูปแบบและการใช้แรงในการหายใจ ในคนที่หายใจเร็วสามารถพบได้หลายภาวะ เช่น pulmonary disease, cardiac disease, metabolic acidosis, anaemia, stress, drug เป็นต้น
ข้อห้ามในการนับการหายใจ
คือเมื่อผู้ป่วยมาด้วย respiratory
distress, apnoea, upper airway obstruction ที่ต้องการการรักษาเพื่อช่วยชีวิต ไม่ควรที่จะมาเสียเวลามานับอัตราการหายใจ
วิธีการ โดยให้นับอัตราการหายใจ
1
นาทีโดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัว
หรือในเด็กทารกอาจจะคลำดูการเคลื่อนไหวของหน้าท้องหรือหน้าอก และดูรูปแบบในการหายใจ
เช่น
ดูการหายใจลำบาก เช่น
การหายใจออกเสียงดัง (grunting) ในทารกโดยการพยายามสร้าง PEEP โดยการปิด glottis บางส่วนขณะหายใจออก; หายใจมี retraction,
prolonged expiration หรือ diaphragmatic breathing
การแปลผล
อัตราการหายใจ (RR) ในผู้ใหญ่ปกติคือ 16-24 ครั้ง/นาที แต่ต้องระวังในความถูกต้องของข้อมูลเพราะมีการศึกษาพบว่ามีการผิดพลาดประมาณ
5-6 ครั้ง/นาที (แม้จะนับโดยคนเดิมหรือใช้
electronic
monitor)
รูปแบบการหายใจที่ผิดปกติ
มักเกิดจากพยาธิสภาพจาก metabolic หรือ CNS disease เช่น
|
Ref: Tintinalli ed8th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น